ทลายกำแพงความหวาดระแวง นายกฯเชื่อกลไกทำงานด้านสุขภาพเดินหน้าฉลุย
หลังพบหลายปัญหากระทบกับสุขภาพประชาชน ยังมีมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างราชการ-เอกชน- ภาคประชาสังคม อภิสิทธิ์เชื่อหากปรับได้ หลายปัญหาจะดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น
วันนี้ (16 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “โอกาสและความท้าทายต่อสุขภาวะจากวิกฤติซ้ำซ้อน” ในการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 2 ณ อาคารสหประชาชาติ ถ.ราชดำเนิน กรุงเทพฯ ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) โดยยืนยันว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับผลของการประชุมสมัชชาอย่างจริงจัง แม้ว่าจะไม่สามารถผลักดันทุกเรื่อง แต่ให้ความสำคัญให้น้ำหนักและจะติดตามดูแล ส่วนสิ่งใดที่ยังเป็นปัญหาอุปสรรคก็จะมีการแลกเปลี่ยน ชี้แจงด้วยเหตุด้วยผล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงบประมาณเรื่องของหลักประกันสุขภาพ ปัญหาการเข้าถึงยา ปัญหาในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับคนไข้ และปัญหาอื่น ๆ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้รับแนวคิดจากสมัชชา จากการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ และนำไปเป็นแนวทางในการบริหารจัดการให้เกิดความสมดุลได้หลายต่อหลายเรื่อง ไม่เพียงเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับนโยบายภายในประเทศของเรา แต่ในบางประเด็น เช่น เรื่องของการเข้าถึงยา หรือเรื่องของโรคเอดส์ ก็ได้มีความพยายามที่จะนำหลักคิดเหล่านี้ไปใช้ในการดำเนินการพูดคุย เจรจาแลกเปลี่ยนกับองค์กรระหว่างประเทศ หรือบรรษัทข้ามชาติ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีด้วย
สำหรับกระบวนการและกลไกการทำงานที่ผ่านมานั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังขาดความเชื่อใจกัน เกิดความหวาดระแวงในการใช้ข้อมูลตรวจสอบระหว่างกัน รวมทั้งเกิดความสงสัยในเจตนาการทำงานของแต่ละฝ่าย แม้งานจะก้าวหน้าไปมาก แต่ต้องยอมรับว่า หลายปัญหาที่มีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนยังมีมุมมองที่ต่างกัน ระหว่างภาคราชการ เอกชน ภาคประชาสังคม และชุมชน หลายปัญหาแก้ได้ยาก ฉะนั้น ต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ความยอมรับนับถือ และมีกระบวนการที่จะทำให้สามารถมีข้อมูลที่เป็นข้อมูลร่วมกัน เพื่อให้การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐและเอกชนดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐบาลพยายามปรับทัศนคติและการทำงานของส่วนราชการ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากเครือข่ายภาคประชาชนด้วย เชื่อว่า หากปรับได้หลายปัญหาก็จะดำเนินต่อไปได้ เพราะมีกลไกที่เข้มแข็งระดับหนึ่งแล้ว ในเรื่องของเนื้อหาสาระ การจัดลำดับความสำคัญของนโยบายสาธารณะที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ก็จะเป็นหัวใจในการดำเนินงานขั้นต่อไป
“กรณีมาบตาพุด เป็นตัวสะท้อนที่ดีถึงช่องว่างที่ยังมีอยู่ จากมุมมองของผู้ที่ต้องการเห็นการพัฒนา การสร้างโอกาส สร้างรายได้ สร้างอาชีพด้วยกระบวนการอุตสาหกรรม จากผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง” นายกรัฐมนตรี กล่าว และว่า กระบวนการพัฒนาในอนาคตจำเป็นต้องมีการตกลง ทำความเข้าใจร่วมกับชุมชนตั้งแต่ต้น พร้อมทั้งต้องไล่ตรวจสอบความหย่อนยานในการบังคับใช้กฎหมายที่ผ่านมา ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องท้าทายทั้งสิ้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า หนึ่งปีที่ผ่านมาโลกต้องเผชิญกับความท้าทายจากวิกฤติซ้ำซ้อนหลายวิกฤติ แต่ข้อเท็จจริงคือเมื่อเกิดวิกฤตินั้นปัญหาโครงสร้างพื้นฐานก็จะถูกนำเสนอออกมาสู่ประชาชนได้รับรู้ชัดมากขึ้น เช่น โครงสร้างของความไม่เป็นธรรม ความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพัฒนาการใช้ทรัพยากร ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องช่วยกันแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ทั้งกระแสโลกาภิวัตน์ ปัญหาโลกร้อน ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางสังคม ล้วนเป็นปัญหาที่ต้องการคำตอบในการปรับปรุงนโยบายสาธารณะด้วยกันทั้งสิ้น รวมถึงระบบสุขภาพด้วย
“ไม่มีความท้าทายใดที่ความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วนในสังคม ไม่อาจก้าวข้ามหรือแก้ไขได้ ความท้าทายจะมีมาอยู่ตลอดเวลา เราอย่าคาดคิดว่าปัญหาที่เผชิญอยู่แก้แล้วจะหมดไป โรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีใหม่จะมีขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่วันนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่การมีกลไกที่ดีที่จะสามารถรับมือได้ทุกปัญหา”นายกรัฐมนตรี กล่าว