ก.คลังตั้งผู้ตรวจฯสอบทุจริตปมคืนภาษี 4.2 พันล้าน-ชงย้ายขรก.พัวพัน
กระทรวงการคลัง ลงนามคำสั่งตั้งผู้ตรวจฯ ปธ.สอบคดีสรรพากร เงินภาษีมูลค่าเพิ่ม ขีดเส้น 60 วัน ชงย้ายขรก.พัวพัน
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายได้ เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า ขณะนี้กระทรวงการคลัง ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีกรมสรรพากรคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทเอกชน 58 ราย รวมวงเงิน 4.2 พันล้านบาท เรียบร้อยแล้ว
โดยมีผู้ตรวจราชการรายหนึ่งในกระทรวงการคลังเป็นประธาน แต่ไม่ขอเปิดเผยชื่อ เนื่องจากเจ้าตัวไม่ต้องการให้ใครมารบกวนการทำงาน มีระยะเวลาทำงาน 60 วัน ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้
“หน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้ คือ การตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของข้าราชการเป็นหลัก ซึ่งจะทำงานควบคู่ไปกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งในขั้นตอนการสอบสวนหากพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากความผิดของข้าราชการ ก็จะนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยต่อไป"
เมื่อถามว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังยังมั่นใจว่าจะสามารถติดตามเงินภาษีคืนกลับมาได้หรือไม่ นายรังสรรค์ตอบว่า เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรที่จะต้องไปติดตามเงินกลับคืนมาโดยในส่วนของบริษัทที่ไม่ได้ประกอบการจริง เป็นบริษัทกระดาษที่ตั้งขึ้นมา ใครเป็นผู้รับเช็คไปก็ให้ไปตามคืนจากคนนั้น ส่วนบริษัทที่มีการประกอบธุรกิจจริง แต่มีการแจ้งตัวเลขขอคืนภาษีเกินกว่าสินค้าที่ส่งออกไป ก็ต้องนำเงินส่วนที่จ่ายเกินไปมาคืน และจะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลบริษัทเอกชนในต่างประเทศ ที่เป็นผู้รับสินค้าเพื่อดูข้อเท็จจริงประกอบด้วย
เมื่อถามย้ำว่า ในส่วนของบริษัทที่ปิดกิจการไปแล้ว หากไม่สามารถติดตามคืนเงินได้จะทำอย่างไร นายรังสรรค์ กล่าวว่า การติดตามคืนเงินไม่น่าจะยาก เพราะตามขั้นตอนเงินภาษีที่จ่ายคืนไปจะอยู่ในรูปของเช็ค ระบุชื่อผู้รับชัดเจน น่าจะสามารถติดตามได้
“แต่ถ้าติดตามเงินไม่ได้จริงๆ ใครที่เป็นผู้อนุมัติคืนเงินไปคนนั้นก็จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอาเงินหลวงมาคืน”
ส่วนการโยกย้ายข้าราชการในระดับพื้นที่เข้ามาประจำการอยู่ส่วนกลางเพื่อรอผลการสอบสวนนั้น รองปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตนได้เสนอปลัดกระทรวงการคลังไปแล้ว ควรจะพิจารณาย้ายข้าราชการที่ถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ออกมาข้างนอกก่อนจะกว่ากระบวนการสอบสวนจะแล้วเสร็จ เพื่อให้กระบวนการตรวจสอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรนั้น ก็คงจะต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของปลัดกระทรวงและอธิบดีกรมสรรพากร