ก.คลังสอบวินัยขรก.ซี 9 กับพวก 18 คนคดีคืนภาษี-กรมสรรพากรฟันนิ่มแค่ 10 คน
ก.คลัง-กรมสรรพากร ชิงแถลงผลตรวจสอบคดีคืนภาษีมูลค่าเพิ่มวันเดียวกัน แต่ข้อมูลขัดแย้งไปกันคนละทาง ทั้งตัวเลขความเสียหาย จำนวน จนท.เกี่ยวข้อง รวมถึงสาเหตุของปัญหา ด้านกรมฯยันระเบียบดีแต่ขั้นตอนการคืนภาษีมีปัญหา ขณะที่กระทรวงคลังยันชัดเจนว่าระเบียบที่ใช้อยู่ในปัจจุบันดี แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวบุคคล
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 22 สิงหาคม 2556 ที่กระทรวงการคลัง นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง และนายประสิทธิ์ สืบชนะ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีกรมสรรพากรคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม วงเงินกว่า 4 พันล้านบาท ได้ร่วมกันเปิดแถลงข่าวชี้แจงความคืบหน้าการสอบสวนคดีนี้
โดยนายอารีพงศ์ ปลัดกระทรวงการคลัง แถลงว่า ขณะนี้คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ชุดที่มีนายประสิทธิ์ เป็นประธาน ได้สรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงคดีนี้ให้ตนรับทราบอย่างเป็นทางการแล้ว โดยการสอบสวนในชั้นต้นสรุปว่ามีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานคืนภาษีมูลค่าเพิ่มอาจจะเกี่ยวข้องกับการคืนภาษีที่ไม่ถูกต้อง จำนวน 18 ราย แบ่งเป็นข้าราชการอำนวยการระดับสูง ซี 9 จำนวน 4 ราย และข้าราชการระดับปฏิบัติงานอีกจำนวน 14 ราย
“ทั้งนี้ ในส่วนข้าราชการอำนวยการระดับสูง จำนวน 4 ราย ทางกระทรวงการคลัง จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการสอบสวนทางวินัย โดยมีนายประภาศ คงเอียด ที่ปรึกษากฎหมายกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ส่วนการสอบสวนทางวินัยข้าราชระดับปฏิบัติการ ทั้ง 14 คน จะมีการส่งเรื่องให้กรมสรรพากรดำเนินการ ซึ่งผมได้ลงนามในหนังสือไปถึงกรมสรรพากรเรียบร้อยแล้ว และยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการที่ถูกตั้งกรรมการสอบทางวินัยอย่างเต็มที่ ถ้าไม่เจตนาทำเรื่องนี้ ก็ไม่ต้องมีอะไรน่าเป็นห่วง ”
ขณะที่นายประสิทธิ์ สืบชนะ ผู้ตรวจสอบราชการกระทรวงการคลัง ระบุว่า ตนได้รับคำสั่งจากปลัดกระทรวงการคลัง ให้ขยายผลการตรวจสอบกรณีนี้เพิ่มเติม เนื่องจากผลสอบที่ออกมาเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเอกชน เพียงแค่ 20 ราย จากข้อมูลเอกชนที่มีอยู่ทั้งหมด 65 ราย ยังเหลือข้อมูลเอกชนอีก 45 ราย ที่จะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม
ส่วนความเสียหายจากเงินภาษีที่เสียไป อยู่ที่จำนวนเงิน 4,341 ล้านบาท แบ่งเป็นพื้นที่สมุทรปราการ จำนวน 1,135 ล้านบาท และบางรัก 3,206 ล้านบาท
นายประสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลของคณะกรรมการฯ ไม่ได้รับความร่วมมือจากรมสรรพากรในการจัดส่งเอกสารให้ โดยทำหนังสือขอไปจำนวน 5 ฉบับ แต่ได้รับข้อมูลตอบกลับมาแค่ฉบับเดียว อ้างว่าจะขัดมาตรา10 แห่งประมวลรัษฏากร ส่วนข้อมูลที่ได้รับมาคือ สำเนาเอกสารข้อมูล 20 บริษัท จากที่ขอไปทั้งหมด 65 บริษัท การทำงานที่ผ่านมาจึงต้องอาศัยความร่วมมือกับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เป็นหลัก
นายประสิทธิ์ ยังกล่าวยืนยันว่า จากการตรวจสอบข้อมูลที่ผ่านมายืนยันว่า ปัญหาเรื่องนี้น่าจะเกิดจากบุคคลเป็นหลัก ระเบียบการปฏิบัติงานไม่มีปัญหา อยู่ที่ความไม่รอบคอบของผู้ปฏิบัติงาน เป็นความผิดพลาดเฉพาะบุคคล
(แผนผังกระบวนการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ของกระทรวงการคลัง)
“ อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อมั่นว่า ข้าราชการกรมสรรพากร จำนวน 99.99% เป็นข้าราชการที่ดีมาก และพยายามแก้ไขปัญหานี้อย่างเต็มที่ ทั้งการส่งข้อมูลให้ และการสัมภาษณ์ เขาให้ความร่วมมือดีมาก และยืนยันว่าการตรวจสอบเรื่องนี้ ผมไม่ได้ใช้ความรู้สึกตัดสิน แต่ดูระเบียบข้อเท็จจริงเป็นหลัก ดูว่าคนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เขาทำหน้าที่อะไร ทำงานตามหน้าที่หรือ เกินหน้าที่ และเกิดความบกพร่องทำให้รัฐเสียหายหรือไม่”
เมื่อถามว่า มั่นใจว่าจะติดตามเงินภาษีคืนกับมาได้ครบจำนวนหรือไม่ นายอารีพงศ์ ตอบว่า ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง) กำลังติดตามอยู่
ขณะที่นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ กล่าวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้น มีคณะกรรมการละเมิดทางแพ่งดูแลอยู่ หากไม่สามารถเรียกจากคืนจากผู้เกี่ยวข้องได้ คงต้องดูว่าผู้บังคับบัญชาจะต้องรับผิดชอบความเสียหายแทนหรือไม่
เมื่อถามว่า ในการตรวจสอบข้อมูลต่อไป จะได้รับความร่วมมือ จากกรมสรรพากรหรือไม่ นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวยืนยันว่า จะต้องได้รับความร่วมมือแน่นอน นอกจากนี้ กรมสรรพากรควรมีการเร่งปรับปรุงงานที่เกี่ยวข้องกับระบบภาษีตามที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติงบประมาณไปให้ก่อนหน้านี้แล้ว
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ก่อนหน้านี้ ช่วงเวลา 13.30 น. ที่กรมสรรพากร นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกรมสรรพากร ร่วมกันแถลงผลการสอบปราบปรามการทุจริตขอคืนภาษี ในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา
โดยอธิบดีกรมสรรพากร ยืนยัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากกรณีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในขณะนี้ เท่าที่มีการตรวจยืนยันข้อมูล พบว่า อยู่ที่ตัวเลข 2,878 บาท จากจำนวนบริษัท 38 ราย
ขณะที่เจ้าหน้าที่สรรพากรที่เข้าไปเกี่ยวข้อง มีจำนวน 10 ราย แต่ยังไม่สามารถระบุชัดเจนได้ว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตด้วยหรือไม่ เพราะต้องรอข้อมูลการสอบสวนของดีเอสไอที่จะออกมาอีกครั้ง ซึ่งถ้าผลสอบที่ออกมาระบุชัดเจนว่ามีเรื่องการทุจริตด้วย ก็จะถูกสอบทุจริตอย่างแน่นอน
อธิบดีกรมสรรพากร ยังกล่าวชี้แจงถึงขั้นตอนการสอบสวนคดีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในส่วนของกรมสรรพากร ว่า จุดเริ่มต้นการตรวจสอบเรื่องนี้ กรมสรรพากรได้ให้นโยบายไปตั้งแต่เมื่อ 2-3 ปี ที่ผ่านมา ว่า ให้เข้มงวดในการตรวจสอบข้อมูล ทั้งกรณีการขอคืนภาษีจำนวนมาก ความน่าเชื่อถือของกรรมการและผู้ถือหุ้นบริษัทที่มาทำเรื่องขอคืน
จนกระทั่งในช่วงปลายปีที่แล้ว จนถึงต้นปีที่ผ่านมา สรรพากรภาค 5 ตรวจพบข้อมูลความผิดปกติเรื่องการขอคืนภาษีของบริษัทเอกชนกลุ่มหนึ่ง และแจ้งเรื่องเข้ามาที่ส่วนกลาง ทางส่วนกลางก็แจ้งกลับไปทันทีว่าให้เร่งดูทางลับและเก็บทุกรายละเอียด ถ้าจะล่อซื้อก็ดำเนินการไป
ต่อมาสำนักสอบสวนกลาง ก็ไปเจอกรณีเดียวกัน และแจ้งข้อมูลเข้ามา แต่ทางผู้เสียภาษีรู้ตัวแล้ว จึงมีการส่งให้สำนักสอบสวนกลาง เข้าตรวจสอบเชิงลึกเพื่อหาข้อเท็จจริง พอได้ข้อมูลแล้ว ก็เอาแนวทางการตรวจสอบไปให้ทางภาค 5 สอบสวนต่อตามแนวทางเดียวกัน
ต่อมาสำนักมาตรฐานก็ไปเจอกรณีที่พื้นที่ 22 บางรัก จำนวน 2 ราย ก็ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ดูว่ามีมูลหรือไม่ สำนักตรวจสอบกลางพบว่าการทุจริตน่าจะมีมูล เป็นการทุจริตขอคืนเท็จแน่นอน เมื่อมีการไล่ตรวจก็หนี ก่อนจะได้รับแจ้งจากพื้นที่ 22 ว่า กลุ่มนี้มีอยู่จำนวน 29 ราย อยู่ระหว่างคืนภาษีอีก 5 ราย มูลค่า 440 ล้านบาท จึงได้มีการสั่งให้พื้นที่ 22 หยุดการคืนภาษี ก่อนจะมีการแจ้งข้อมูลไปยังตำรวจเศรษฐกิจเพื่อขยายผล จนกระทั่งพบจำนวนบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 58 ราย
จากนั้น ก็มีการตั้งคณะทำงานหาข้อเท็จจริง มีอดีตรองอธิบดีเป็นประธาน เพื่อดูว่ามีเจ้าหน้าที่ของเราเข้าเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ซึ่งมีการประสานงานกับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ อยู่ตลอด
ส่วนผลการสอบสวนข้อเท็จจริงในส่วนของกรมสรรพากร คณะทำงานเห็นว่า เจ้าหน้าที่อาจขาดความละเอียดรอบคอบ ความรู้เรื่องการส่งออก ขณะที่ผู้ประกอบการมีความรู้และเข้าใจระเบียบวิธีการทำงานของเจ้าหน้าที่มากกว่า รู้จุดอ่อนการทำงานของเราว่าเป็นอย่างไร มีการจัดฉากให้เชื่อว่ามีสถานประกอบการจริง จัดเตรียมเอกสารเดือนแรกๆ ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ทั้งการยืนใบกำกับภาษี หลักฐานทางการเงิน และเมื่อเจ้าหน้าที่ยืนยันข้อมูลกับทางกรมศุลกากร พบว่า มีใบขนสินค้าออกจริง ชำระค่าสินค้า ใบกำกับสินค้า ทำให้เชื่อว่ามีซื้อขายสินค้า และชำระส่งออกจริง ซึ่งคณะทำงานเห็นว่ามีความไปได้สูงว่าจะมีพฤติการณ์การสร้างเอกสารเท็จ
นายสาธิต ยังกล่าวยืนยันว่า นโยบายการหาข้อเท็จจริง เพื่อหยุดกระบวนการทุจริตขอคืนภาษี กรมสรรพากร ได้รับบัญชาจากนายกรัฐมนตรี เป็นคำสั่งให้ทุกหน่วยงานในกระทรวงการคลัง ช่วยกันดูว่า จะมีปัญหาจากส่วนไหนบ้าง ถ้าเราขยายฐานรายได้ แต่มีช่องหลบทุจริต รายได้ที่หามาก็ยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เราจึงต้องพยายามใช้เวลาหาขบวนการทุจริตทั้งวงจร ทุกๆ ด้าน
นายสาธิต ยังระบุด้วยว่า อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลที่ผ่านมา พบว่า มีหลายกรณีหลายกลุ่ม ที่ถูกตรวจสอบพบว่าอาจจะมีพฤติการณ์เข้าข่ายเรื่องการทุจริตขอคืนภาษี และกลุ่มคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็มีจำนวนมาก วิธีการที่ทำก็มีความสลับซับซ้อน แบ่งขบวนทำงานออกเป็น 4-5 ชั้น กำลังเจ้าหน้าที่มีไม่เพียงพอที่จะจัดการ หากทำอะไรไปก่อน ผู้เกี่ยวข้องจะไหวตัวทัน หลบหนีไปกันหมด การตรวจสอบก็จะเสียทั้งของ ทั้งเงิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการแถลงข่าวดังกล่าว นายสาธิต ยังได้ยกตัวอย่างการตรวจสอบคดีภาษีอื่น มาประกอบ อาทิ การตรวจสอบการขอคืนภาษีของเอกชนที่ทำธุรกิจเศษเหล็ก ในพื้นที่กรุงเทพ และจังหวัดนครปฐม ซึ่งมีกระบวนการขอคืนภาษีที่มีรูปแบบซับซ้อน ผู้เกี่ยวข้องแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม หลายบริษัทมีผู้ถือหุ้นกลุ่มเดียวกันโยงกันไปโยงมา และเริ่มไซฟอนเงิน ไปบ้างแล้ว แต่จากการตรวจสอบล่าสุด พบว่าเงิน และผู้เกี่ยวข้องยังอยู่ครบ โดยในวันที่ 23 สิงหาคม นี้ ตนจะประสานงานไปยัง ดีเอสไอ และ ป.ป.ง. เพื่อตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อมูลเรื่องนี้ร่วมกัน และเชื่อว่า น่าจะสามารถติดตามทั้งตัวผู้เกี่ยวข้องและเงิน ภาษีกลับคืนมาได้อย่างแน่นอน
ส่วนกลุ่มที่สอง ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบเช่นกัน เป็นกลุ่มส่งออกสินค้าโลหะ อะลูมิเนียม และทองแดง โดยกลุ่มนี้ เคยอยู่ในพื้นที่บางรัก แต่เมื่อถูกตรวจสอบพบ ก็หนีไปอยู่ที่จังหวัดมุกดาหาร แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ มีอดีตเจ้าหน้าที่บางคน ไปวิ่งเต้นเป็นตัวแทนทำเรื่องขอคืนภาษีให้ และมีญาติสรรพากรบางคนให้เช่าออฟฟิต ทำให้สื่อถึงอะไรบางอย่าง
นอกจากนี้ นายสาธิต ยังหยิบยกกรณีที่กรมสรรพากร มีมติไล่ออกข้าราชการ ระดับสูง จำนวน 3 รายก่อนหน้านี้ หลังจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงเอกสาร นำชื่อญาติและคนใกล้ชิดเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งและทำเรื่องขอคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่กรณีนี้ มีการติดตามคืนเงินภาษีที่จ่ายไปกลับมาได้ครบถ้วน ราชการไม่เสียหาย
นายสาธิต ยังระบุด้วยกรณีการไล่ออกข้าราชการสรรพากร 3 รายดังกล่าว มีความน่าสนใจอยู่ที่ สองในสามข้าราชการที่ถูกไล่ออกพบว่ามีส่วนเข้าไปเกี่ยวกับขบวนการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่อยู่ระหว่างการสอบสวนของดีเอสไอในขณะนี้ พร้อมระบุว่า คนที่ทำเรื่องทุจริตขอคืนภาษีไม่ใช่ธรรมดา มีการดำเนินการวางแผน 4-5 ชั้น กระบวนการตรวจสอบธรรมดาไม่สามารถตรวจสอบได้ และผู้เข้าที่ไปเกี่ยวข้อง ต้องรู้จุดอ่อนและเข้าใจระบบสรรพากรและกรมศุลกากรเป็นอย่างดี ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะทำได้
“ข้าราชการที่เราไล่ออกไป เป็นคนที่รู้แนวทางปฏิบัติและเรื่องระเบียบเป็นอย่างดี และมีกระแสข่าวว่าเกี่ยวพันกับสำนักงานบัญชี มีญาติพี่น้อง เข้าไปจองชื่อบริษัทให้กลุ่มธุรกิจนี้ และเท่าที่ทราบผู้สอบบัญชี ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก็เคยเป็นชิปปิ้งเก่า รู้จักกลไกทั้งเรื่องการส่งออกสินค้าและคืนภาษีเป็นอย่างดี”
นายสาธิต ยังกล่าวถึงแนวทางการป้องกันปัญหาในอนาคตว่าระยะสั้น ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบข้อมูลวิเคราะห์การคืนภาษีเป็นรายเดือนแยกเป็นพื้นที่ ทุกคลัสเตอร์สินค้า ส่วนกลางจะต้องลงไปตรวจสอบความผิดปกติเป็นประจำ ดูการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ให้เหมาะสม รอบคอบ ไม่ใช่ดูแค่ทำตามระเบียบ มีอะไรผิดปกติ ต้องส่งสัญญาเตือนกรมฯ ทันที ที่สำคัญต้องปรับปรุงระเบียบอุดช่องโหว่ให้หมดทุกอย่าง