ป.ป.ช.ยกกรณีถอดถอน“สมชาย”เทียบเคียง“จำนำข้าว” สอบ“ยิ่งลักษณ์”
เปิดละเอียดแนวข้อสอบ “ยิ่งลักษณ์" กรณีโครงการจำนำข้าว ในอุ้งมือ ป.ป.ช - “วิชา มหาคุณ” ยกเคสถอดถอน “พี่เขย” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ สั่งสลายการชุมนุมพันธมิตรปี 51 เทียบเคียงว่า ด้วยการไม่ปฏิบัติตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน เห็นความเสียหายไม่ "ระงับ- ยับยั้ง"
หลายคนอาจจะทราบแล้วว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเอกฉันท์อนุมัติให้แต่งตั้งคณะอนุไต่สวนข้อเท็จจริงกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เนื่องจากมีเหตุอันควรสงสัยตามมาตรา 66 แห่งกฎหมาย ป.ป.ช. ว่าการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) แม้จะทราบข้อท้วงติงและความเสียหายจากการดำเนินโครงการดังกล่าว แต่กลับไม่ระงับยับยั้ง จึงถือว่าเป็นกรณีที่อาจเป็นมูลความผิดตาม ป.อาญา และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
(อ่านประกอบ:ป.ป.ช.แจ้งข้อหา “บุญทรง” ขายข้าวจีทูจีเก๊ เริ่มไต่สวน “ยิ่งลักษณ์”)
แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า ในการพิจารณาข้อเท็จจริงกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดังกล่าว ป.ป.ช. มีการนำแนวทางข้อวินิจฉัยคดีกล่าวหา นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พี่เขย น.ส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับพวกกระทำความผิดต่อตำแหน่งราชการ กรณีสั่งให้มีการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 มาใช้พิจารณาเทียบเคียงด้วย
ทั้งนี้ ในการให้สัมภาษณ์พิเศษ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ของ นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีทุจริตโครงการจำนำ ถึงผลการไต่สวนกรณีการระบายข้าวรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่ผ่านมา
นายวิชา กล่าวยืนยันว่า การไต่สวนข้อเท็จจริ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ต่อกรณีการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว จะมีการนำระเบียบราชการแผ่นดินมาใช้ประกอบด้วย เพราะในทางปฏิบัติแม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะอ้างว่าในการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าวได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีคนอื่นเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบงานแทน
แต่โดยหลักการการมอบอำนาจให้บุคคล มาปฏิบัติหน้าที่แทน ตามข้อกำหนดในระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ผู้มอบอำนาจ จะต้องติดตามดูแลงานที่มอบหมายไปด้วย และถ้าเห็นว่าจะมีความเสียหายที่เกิดขึ้น กับงานที่มอบหมายไปจะต้องแก้ไขยับยั่ง
“ เรื่องนี้ มันก็เหมือนกับกรณีที่ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี สั่งสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชน ที่บริเวณหน้ารัฐสภา ช่วงปี 2551 ซึ่งนายกสมชายอ้างว่าได้มอบอำนาจให้บุคคลอื่นเป็นผู้รับผิดชอบแทน และเกิดความเสียหายร้ายแรง มีผู้เสียชีวิต พิการขาขาด คุณจะมาบอกว่ามอบอำนาจไปแล้ว แล้วไม่เกี่ยวข้องด้วยไม่ได้ เพราะตามหลักการบริหารราชการแผ่นดิน คุณต้องติดตาม และถ้าเห็นว่าจะจะเกิดความเสียหายต้องแก้ไขต้องยับยั่งต้องยกเลิก”
นายวิชายังกล่าวยืนยันด้วยว่า ขณะที่ในขั้นตอนการปฏิบัติงานมีข้อมูลปรากฎชัดเจนว่า นับตั้งแต่รัฐบาลประกาศว่าจะเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าว มีนักวิชาการ องค์กรตรวจาสอบต่างๆ ได้พยายามนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อท้วงติง เกี่ยวกับความเสียหายของประเทศที่จะเกิดขึ้นกับโครงการรับจำนำให้นายกฯ รับทราบมาตลอด แต่นายกฯ ก็ไม่ได้มีการสั่งการหรือยับยั้งอะไร และปล่อยให้มีการดำเนินการโครงการนี้ต่อไปจนทำให้ประเทศเกิดความเสียหายอย่างมาก
เมื่อถามว่า แต่โครงการรับจำนำข้าวเป็นนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องดำเนินการ นายวิชาตอบว่า “โครงการรับจำนำข้าวเป็นนโยบายของรัฐบาล เรื่องการสั่งสลายการชุมนุมอันนี้ก็เป็นนโยบายเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องปฏิบัติตามหลักการบริหารราชการแผ่นดินเหมือนกัน”
นายวิชา ยังกล่าวด้วยว่า “เรื่องการกล่าวหานายกยิ่งลักษณ์ ต่อกรณีโครงการรับจำนำข้าว ผมได้ยืนยันกับคณะกรรมการป.ป.ช.เป็นทางการไปแล้วว่า ถ้า ป.ป.ช.จะไต่สวนเรื่องนี้ ถ้าจะเริ่มต้น เราต้องบอกให้นายกฯยิ่งลักษณ์ รับทราบเรื่องก่อนว่าเราจะดำเนินการเรื่องนี้ เพื่อที่นายกฯ จะได้มีเวลาเตรียมตัวมาชี้แจงกับ ป.ป.ช. เพราะผมคิดว่าทุกอย่างต้องทำกันแบบแฟร์ๆ ป.ป.ช. เราแฟร์อยู่แล้ว”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในสำนวนการไต่สวนคดีกล่าวหา นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับพวกกระทำความผิดต่อตำแหน่งราชการกรณีสั่งให้มีการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิด ต่อนายสมชาย ว่า
“นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เมื่อครั้งดำรงตําแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล ต้องบริหารบ้านเมืองให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และเคารพสิทธิการแสดงออกของ ประชาชนตามรัฐธรรมนญู ถึงแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ติดต่อให้นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เปลี่ยนสถานที่การประชุมหรือเลื่อนการประชุมออกไป แต่นายชัย ชิดชอบ ยังคงยืนยันให้มีการประชุมรัฐสภาตามวันและเวลาเดิมก็ตาม แต่กรณีที่เจ้าหน้าที่ตํารวจใช้วิธีการที่รุนแรงตอประชาชน จนประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต และเมื่อปรากฏว่ามีผู้บาดเจ็บ สาหัสในการเข้าดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตํารวจเพื่อเปิดทางเข้ารัฐสภาในตอนเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551
จนกระทั้งพลเอกชวลติ ยงใจยุทธ ได้แสดงความรับผิดชอบโดยการประกาศลาออกจากตําแหนงรองนายกรัฐมนตรี แต่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ไม่ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชายุติการกระทำกลับปล่อยให้มีการกระทำที่รุนแรงขึ้น ตามลำดับตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงค่ำ จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต การกระทำหรือละเว้นการกระทำของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จึงมีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
นอกจากนี้ กรณีที่ประธานวุฒิสภา ได้ส่งคำร้องขอให้ถอดถอน นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ออกจากตําแหน่ง ในกรณีดังกล่าวมาให้ดำเนินการไต่สวนถอดถอนด้วยนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ได้มีมติให้ส่งรายงานไปยังประธานวุฒิสภา เพื่อพิจารณาดําเนินการต่อไป"
จากการตรวจสอบยังพบด้วยว่า ในการพิจารณาคดีของนายสมชาย นั้น ป.ป.ช. ได้มีการอ้างคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หมายเลขดำ ที่ อม 1/2550 ซึ่งได้วินิจฉัยอำนาจหน้าที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้ว่า “นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาล มีอำนาจกำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดิน มีอำนาจสั่งให้ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาคและส่วนราชการ ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมราชการส่วนท้องถิ่นชี้แจงแสดงความคิดเห็น ทำรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ ในกรณีจำเป็นจะยับยั้งการปฏิบัติราชการใดๆ ที่ขัดต่อนโยบายหรือมติคณะรัฐมนตรีก็ได้ มีอำนาจบังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารทุกตำแหน่งซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรมและส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเป็นกรมรวมทั้งมีอำนาจดำเนินการอื่นๆ ในการปฏิบัติตามนโยบายฯ....อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีในการบริหารราชการแผ่นดินมีขอบเขตอย่างกว้างขว้าง มีอำนาจเหนือข้าราชการฝ่ายบริหารทุกตำแหน่งในทุกกระทรวง ทบวง กรม”
..แต่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ไม่ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชายุติการกระทำ กลับปล่อยให้มีการกระทำที่รุนแรงขึ้นตามลำดับตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต การกระทำหรือละเว้นการกระทำของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จึงมีมูลส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 270 ประกอบมาตรา 272
ทั้งนี้ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 ระบุว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด หรืออัยการสูงสุด ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานท่างจริยธรรมอย่างร้ายแรง วุฒิสภา มีอำนาจถอดถอนผู้นั้นออกจากตำแหน่งได้
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ วุฒิสภามีมติไม่ถอดถอน นายสมชาย ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากลงคะแนนน้อยกว่า 3 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด แต่การดำเนินคดีทางอาญาตามมาตรา 157 ยังอยู่ในชั้นการพิจารณาของอัยการ
ทั้งหมด นี่คือ แนวทางการไต่สวนและผลการสอบสวนคดีการสั่งสลายการชุมนุม ของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี
ที่ ป.ป.ช.จะนำมาใช้เทียบเคียงกับกรณีโครงการรับจำนำข้าว ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี คนปัจจุบัน?
-----
อ่านเรื่องประกอบ
เจาะ 2เงื่อนตาย!ระบายข้าวจีทูจี“เก๊”รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในสำนวนสอบ ป.ป.ช.
“วิชา”ย้ำเงื่อนตายระบายจีทูจี"เก๊"-อาศัยแค่"ชื่อ"สุดท้ายข้าววนเวียนในปท.