- Home
- Investigative
- บัญชีทรัพย์สิน
- เจาะยึดทรัพย์ปลัด ก.กลาโหม “พล.อ.ชำนาญ-พล.อ.เสถียร”ใช้คนใกล้ชิด“นอมินี”
เจาะยึดทรัพย์ปลัด ก.กลาโหม “พล.อ.ชำนาญ-พล.อ.เสถียร”ใช้คนใกล้ชิด“นอมินี”
เปิดตำนาน“ยึด-อายัด”ทรัพย์ ปลัดก.กลาโหม จาก พล.อ.ชำนาญ นิลวิเศษ 69.1 ล้าน -พล.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ 65 ล้าน ใช้คนใกล้ชิด“นอมินี”ถือครองทรัพย์สิน
พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ มิใช่ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหมคนแรกที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อายัดเงิน 65 ล้านบาท หากย้อนเวลาเมื่อ 28 ปีก่อน(นับจาก ป.ป.ป.มีมติ) พล.อ.ชำนาญ นิลวิเศษ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหมก็เคยถูกชี้มูลร่ำรวยผิดปกติและยึดทรัพย์มาแล้ว
พล.อ.ชำนาญถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.) มีมติยึดทรัพย์ 69.1 ล้านบาท มากที่สุดถ้าเทียบกับคดีร่ำรวยผิดปกติที่ศาลพิพากษาให้ยึดทรัพย์ในยุคนั้น
พฤติกรรมของพล.อ.ชำนาญ คือเอาทรัพย์สินที่ได้รับมาในช่วงรับราชการ ได้แก่ บ้าน ที่ดิน เงินฝาก และหุ้นเอาไว้กับตัวเองเพียง 6.6 ล้านบาท ที่เหลือยักย้ายถ่ายเทไปให้นางประนอม นิลวิเศษ ภรรยา และ บุตรชาย
จุดเริ่มต้นของคดีเริ่มจาก วันที่ 18 ตุลาคม 2522 มีคนร้องเรียน ป.ป.ป.ว่า เมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ชำนาญมีฐานะธรรมดา แต่ปัจจุบันร่ำรวยผิดปกติ โดยได้ลงทุนก่อสร้างหมู่บ้านพรสวรรค์ที่ปากน้ำชุมพร มูลค่า 40 ล้านบาทบาท ลงทุนในบริษัท ทรานส์โอเชียนไลน์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (เดินเรือทางทะเล) เป็นหุ้นส่วนประมาณ 15-16 ล้านบาท สร้างบ้านพักในเนื้อที่ 4-5 ไร่ ที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ราคาหลายล้านบาท ลงทุนเปิดร้านอาหารในต่างประเทศ ลงทุนในโรงแรมปอยหลวง จังหวัดเชียงใหม่
ป.ป.ป. ตรวจสอบพบว่า ทั้ง 3 คนมีทรัพย์สินรวม 71,094,000.23 บาท โดยมีหลักฐานว่าพล.อ.ชำนาญเป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ 6,624,425.22 บาท นางประนอมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ 54,469,575.01 บาท และ มีหลักฐานว่า บุตรชายเป็นเจ้าของ 10,000,000 บาท
นอกจากนั้นยังปรากฏหลักฐานว่ามีทรัพย์สินของบุตรสาว เครือญาติ และ ผู้ใต้บังคับบัญชา อีกประมาณ 143ล้านบาท
แต่ปรากฏหลักฐานว่า ในระหว่างปี 2515 – 2523 พล.อ.ชำนาญและภรรยามีรายได้ตามหลักฐานแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวม 1,326,619.96 บาท ขณะที่ลูกไม่มีรายได้
คณะกรรมการ ป.ป.ป.จึงมีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2528 ว่าพล.อ.ชำนาญมีทรัพย์สินร่ำรวยขึ้นโดยผิดปกติ โดยให้ภรรยาและลูกถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินแทน
ในการชี้แจงที่มาของทรัพย์สิน พล.อ.ชำนาญอ้างว่า รับราชการตั้งแต่ปี 2490 -2528 นอกจากมีรายได้จากเงินเดือนประจำแล้วยังมีรายได้จากเบี้ยประชุม ค่าเลี้ยงดู โบนัส จากการทำหน้าที่เป็นกรรมการชุดต่างๆของรัฐและรัฐวิสาหกิจ อาทิ
มีตำแหน่งในศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกตั้งแต่ปี 2510-2524 ได้รับค่าเลี้ยงดูเป็นเวลา 13 ปี เป็นเงิน 180,000 บาท ,เป็นกรรมการวิทยุกองทัพบก ได้รับเบี้ยประชุมและโบนัสประมาณ 2 แสนบาท ,เป็นกรรมการของสำนักงานอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้รับโบนัส 6 แสน บาทเศษ ,คณะกรรมการอุตสาหกรรมทหาร กรรมการองค์การแบตเตอรี่และองค์การแก้วได้เบี้ยประชุมและโบนัสประมาณ 6 - 7 แสนบาท ,เป็นสมาชิกสภากลาโหมโดยตำแหน่ง การดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงกลาโหม และปลัดกระทรวงกลาโหม ก็ได้รับเงินรับรองและเบี้ยประชุมเป็นระยะเวลา 4 ปี เป็นเงินประมาณ 1.5 ล้านบาท
กวดวิชาให้นายทหารซึ่งจะเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก เป็นครูสอนวิชารบร่วมอากาศกับพื้นดินที่เกาะโอกินาวาประเทศญี่ปุ่น ได้รับค่าตอบแทนเกือบแสนบาท เป็นครูร่วมกับจัสแม็กในการสอนวิชางบประมาณและปลัดบัญชีกองทัพได้รับค่าตอบแทนเกือบ 2 แสนบาท ได้รับค่าสอนในโรงเรียนทหารหลายแห่งได้รับค่าตอบแทนประมาณ 1.2 แสนบาท
นอกจากนี้ได้รับเงินรางวัลจากผู้บังคับบัญชาในการปฏิบัติงานพิเศษเมื่อประมาณปี 2494 กรณีกบฏแมนฮัตตันได้รับรางวัลจากพลเอกกฤษณ์ สีวะรา 50,000 บาท ไปช่วยราชการในกรมตำรวจตามคำสั่งของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้รับเงินรางวัล 2 ครั้ง ประมาณ 1 ล้านบาท ได้รับรางวัลจากพลเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ ประมาณ 50,000 บาท เป็นนายทหารประจำตัวและติดตามนายสุกิจ นิมมานเหมินทร์ รองนายรัฐมนตรีโดยคำสั่งของพลเอกกฤษณ์ ได้รับรางวัลประมาณ 3 แสนบาท
และในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้ “ทำงานพิเศษ” ให้แก่พลเอกกฤษณ์ ได้รับรางวัลประมาณ 4 ล้านถึง 5 ล้านบาท เมื่อประมาณปี 2513 ถึงปี 2515 เป็นหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประสานงานไทยสหรัฐในการส่งทหารไปรบที่ประเทศเวียดนามใต้ ได้รับเงินสมนาคุณและเงินธุรกิจจากประเทศสหรัฐ ซึ่งเงินดังกล่าวได้นำมาใช้ในประเทศไทยเกือบ 2 ล้านบาท และเมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว ได้รับทรัพย์สินจากบิดามารดาประมาณ 3 ล้านบาท เงินต่างๆ ที่ได้รับได้นำออกไปหาประโยชน์ได้ประมาณ 7 ล้านบาท
รวมแล้วมีรายได้เป็นเงินไม่น้อยกว่า 25 ล้านบาท
บ้านที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันและได้มาจากแม่ยกให้ ส่วนบ้านและที่ดินแปลงอื่นแม่ก็ยกให้บางรายการก็เป็นของนางประนอมภรรยา
พล.อ.ชำนาญอ้างว่าทรัพย์สินของภรรยาได้มาจากเงินเดือนจากการรับราชการครู และประกอบอาชีพส่วนตัวโดยช่วยพ่อแม่ทำการค้าขาย พ่อแม่ของภรรยาทำการค้าฝิ่นโดยเปิดโรงยาฝิ่นและร่วมกันเป็นเอเย่นต์ เดินเรือทะเลชายฝั่งประเทศข้างเคียง
พ่อแม่ของภรรยามีฐานะเป็นคหบดีชั้น เป็นเจ้าของ เอเย่นต์สุรา เดินเรือเมล์ระหว่างปากน้ำชุพรกับอำเภอเมืองชุมพร และประกอบอาชีพประมงโดยการทำโป๊ะ แม่ของภรรยารับจำนำทรัพย์สินและขายขนม นอกจากนี้ภรรยายังร่วมลงทุนกับเพื่อทำการค้าข้าวและแร่รวมทั้งรับจำนำทองอีกด้วย
หุ้นในบริษัท ทรานส์โอเชียนไลน์คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ ในบริษัทปอยหลวง จำกัด เป็นของนางยุพดี ณ ระนอง เพราะนางยุพดีต้องการอาศัยชื่อของพลเอกชำนาญในการเปิดบริษัท ซึ่งในขณะนั้นถือเป็นค่านิยมที่จะให้มีนายทหารร่วมอยู่ด้วย
บ้านเลขที่ 23/2 ซอยวิพัชร ตำบลยายชา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ภรรยาเล่นแชร์น้ำมันได้รับผลประโยชน์ 7 ล้านบาทเศษ
หุ้นในบริษัท บ้านพักพรสวรรค์ จำกัด จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1,000 บาท ที่อยู่ในชื่อของลูกชาย พล.อ.ชำนาญอ้างว่า นางยุพดี ณ ระนอง ยกให้ 5,500 หุ้น นายเชิญ นิลวิเศษ ยกให้ 1,000 หุ้น แพทย์หญิงนันทพร นิลวิเศษ ยกให้ 500 หุ้น นายสัมพันธ์ จันทรบำรุง ยกให้ 3,000 หุ้น
คดีนี้มีนายทหาร 2 คนมาช่วยเบิกความเป็นพยานให้พล.อ.ชำนาญคือพลเรือโททวี บุญเนือง และ พลตรีมณีรัตน์ จารุจินดา ทั้งสองอ้างว่าเคยไปบ้านเดิมของนางประนอมในจ.ชุมพรมาแล้วพบว่ามีฐานะรวยจริง
ศาลเห็นว่าการที่พล.อ.ชำนาญอ้างตนเองเป็นพยานโดยมิได้นำนางประนอมภรรยาเบิกความ และนำนางยุพดี ณ ระนอง ญาติมาเบิกความ ไม่ได้บอกเล่ารายละเอียดว่านางประนอมลงทุนค้าขายอะไร ไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ รวมทั้งคำเบิกความของพลเรือโททวี บุญเนือง และ พลตรีมณีรัตน์ จารุจินดา ก็เป็นคำเบิกความลอยๆ ลำพังไปพักเพียงชั่วคราวจะทราบได้อย่างไรว่า พ่อของนางประนอมมีฐานะร่ำรวย
นอกจากนี้การนายไพจิตร สุนากร ญาติของนางประนอมให้การว่า พ่อของนางประนอมได้ยกทรัพย์สินให้นางประนอม จำนวน 10 ล้านบาท แต่ทำสัญญาซื้อขายกันไว้
ศาลเห็นว่าเป็นการทำนิติกรรมอำพราง เพราะถ้าพ่อยกให้ลูกก็ไม่จำเป็นต้องทำสัญญาซื้อขาย ศาลเชื่อว่าพ่อของนางประนอมขายทรัพย์สินให้นางประนอม นั่นก็แสดงว่าพ่อของนางประนอมมิได้มีฐานะร่ำรวยตามคำกล่าวอ้าง และที่อ้างว่านางประนอมเล่นแชร์น้ำมันได้กำไร 7 ล้านบาทก็เป็นคำกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีพยานสนับสนุน
ประกอบกับมีหลักฐานการเสียภาษีของนางประนอม ในระหว่างปี 2515-2523 ว่ามีรายได้ประมาณ 190,638 บาท น่าเชื่อว่าทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อของนางประนอมเป็นการถือแทนพล.อ.ชำนาญ
และการที่ พล.อ.ชำนาญอ้างว่า มีผู้ยกหุ้นในหมู่บ้านพักพรสวรรค์ จำนวน 10,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 1,000 บาท ให้ลูกชายโดยเสน่หา ศาลเห็นว่าแม้ผู้ยกให้จะมีฐานะร่ำรวย แต่ไม่มีเหตุผลที่จะซื้อหุ้นจำนวนมากถึง 10 ล้านบาท ให้แก่ลูกชายพล.อ.ชำนาญแม้จะเป็นผู้เยาว์และพิการก็ตาม หุ้นที่อยู่ในชื่อของลูกชายจึงเป็นทรัพย์สินของพล.อ.ชำนาญ
เมื่อพิจารณาถึงรายได้และรายจ่ายประกอบกัน เชื่อว่าพล.อ.ชำนาญมีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 7-8 ล้านบาท เท่านั้น การที่พลเอกชำนาญมีทรัพย์สินมูลค่า 71,098,000.23 บาท ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ร่ำรวยผิดปกติ
ศาลฎีกาตัดสินให้ที่ดินตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร จำนวน 3 แปลงที่ดินตำบลยายชา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จำนวน 5 แปลง ,บ้าน 3 หลัง ได้แก่ บ้านเลขที่ 23/2 ซอยวิพัชร ตำบลยายชา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม บ้านเลขที่ 336 และ 317 ซอย 27 ถนนสุขสวัสดิ์ แขวงบางประกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ และ เงินฝากธนาคารกรุงเทพ สาขาสามพราน 1 บัญชี ,บัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาพระประแดง 1 บัญชี ,บัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ สาขาบุคคโล 2 บัญชี ,บัญชีเงินฝากธนาคารออมสิน สาขาราษฏร์บูรณะ 2 บัญชี ,บัญชีเงินฝากธนาคารออมสิน สาขาสามพราน 1 บัญชี ตกเป็นของแผ่นดิน โดยให้พล.อ.ชำนาญและนางประนอมภรรยาโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่กระทรวงการคลัง
ศาลฎีกาตัดสินเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2539 ผู้พิพากษาคือนายสมปอง เสนเนียม นายอัมพร เดชศิริ และนายวิฑูรย์ สิทธิประภา
--------
อ่านประกอบ
ป.ป.ช.อายัดทรัพย์ “พล.อ.เสถียร” 65 ลบ.หลังพบเงินผ่านบัญชร “เมีย-ลูก”มากผิดปกติ