- Home
- Investigative
- ข่าวทั่วไปศูนย์ข่าวสืบสวน
- “ชูวิทย์”พ้นผิดคดีซุกหนี้ค่าปรับอ่างอาบอบนวด“ฮอนโนลูลู” 2.3 ล้าน
“ชูวิทย์”พ้นผิดคดีซุกหนี้ค่าปรับอ่างอาบอบนวด“ฮอนโนลูลู” 2.3 ล้าน
ป.ป.ช.มีมติยกคำร้อง “ชูวิทย์”ซุกหนี้ค่าปรับดัดแปลงอ่างอาบอบนวด“ฮอนโนลูลู” 2.3 ล้าน เหตุศาลฎีกามีคำพิพากษา หลังรับตำแหน่ง ส.ส.
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2556 เว็บไซต์สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ข่าวการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2556 เรื่องผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีร้องเรียน นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ รายการหนี้ตามคาพิพากษา ระบุว่า
ด้วยเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้มีหนังสือลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2555 ขอให้ตรวจสอบนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีหนี้ค่าปรับตามคำพิพากษา จำนวน 1,098,500 บาท ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 263 ซึ่งนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2554 และยื่นบัญชีฯ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2554 ว่ามีหนี้สินเบิกเกินบัญชี 5 รายการ รวมเป็นเงิน 119,342.64 บาท และมีหนี้สินเป็นเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น 2 รายการ รวมเป็นเงิน 9,604,532.98 บาท
โดยไม่ได้มีการแสดงหนี้สินตามคาพิพากษาในคดีหมายเลขดาที่ อ.3014/2547 จำนวนเงิน 1,098,500 บาท ไว้แต่อย่างใด ซึ่งหนี้ดังกล่าวมีมาก่อนเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2555 ศาลฎีกาได้พิพากษายืนโดยมีค่าปรับที่จะต้องจ่ายตั้งแต่วันที่ฟ้องจนถึงวันที่อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาเป็นเงิน 2,364,000 บาท
จากการตรวจสอบปรากฏข้อเท็จจริงว่าหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ค่าปรับตามคำพิพากษา
ในคดีอาญาความผิดฐานร่วมกันก่อสร้างดัดแปลงอาคารสถานอาบอบนวด “ฮอนโนลูลู” แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม. ผิดไปจากแบบก่อสร้างหลายส่วน ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 ผู้ยื่นมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 31 วรรคหนึ่ง, 65, 69 และ 70 ประกอบด้วยมาตรา 32 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 วางโทษปรับจำเลยที่ 2 จำนวน 40,000 บาท และปรับจำเลยที่ 2 ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนอีกวันละ 1,000 บาท นับแต่วันที่ 23 กันยายน 2542 จนกว่าจะได้มีการปฏิบัติให้ถูกต้อง จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 2 จานวน 20,000 บาท และปรับจำเลยที่ 2 ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนอีกวันละ 500 บาท นับแต่วันที่ 23 กันยายน 2543 จนกว่าจะได้มีการปฏิบัติให้ถูกต้อง
ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 (ผู้ยื่น) อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาศาลฎีกาพิพากษาว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้รับผิดชอบในการดาเนินหรือปฏิบัติงานของจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยและ
การกระทำของจำเลยที่ 2 ก็ยังเป็นความผิดตลอดเวลาที่ยังไม่มีการปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2547 อันเป็นเวลาหลังจากเกิดเหตุแล้วก็ตาม แต่ก็หาเป็นเหตุให้มีผลล้างความผิดของจำเลยที่ 2 ในขณะเกิดเหตุไม่
หากจำเลยที่ 2 ต้องเสียหายจากการที่ยังไม่มีการปฏิบัติให้ถูกต้องดังกล่าวหลังจากนั้นอย่างไรก็ชอบที่จะไป ว่ากล่าวเอาแก่จำเลยที่ 1 เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ปรับจำเลยที่ 2 ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ซึ่งศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาฎีกาให้นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ฟังเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2555 ซึ่งเป็นวันภายหลังวันที่ผู้ยื่นเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2555
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 440-5/2556 เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2556 พิจารณาแล้วเห็นว่า หนี้ค่าปรับตามคาพิพากษาศาลอาญา ในคดีหมายเลขดาที่ อ.3014/2547 หมายเลขแดงที่ 2417/2548 จานวน 1,098,500 บาท นั้น เป็นหนี้ค่าปรับในคดีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นหนี้ค่าปรับรายวัน และไม่มีจำนวนที่แน่นอนโดยขณะที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบ กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นั้น คดียังอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา
ต่อมาศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2555 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จึงทราบจำนวนหนี้ที่แน่นอน ภายหลังจากที่ได้ยื่นบัญชีฯ กรณีเข้ารับตำแหน่งแล้ว กรณีจึงยังฟังไม่ได้ว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 263 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 34
ที่ประชุมจึงมีมติให้ยุติเรื่อง ให้มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาให้นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้ร้อง ทราบ รวมทั้งนำลงในเว็บไซต์ของสานักงาน ป.ป.ช. เพื่อเผยแพร่ต่อไปด้วย