- Home
- Investigative
- ข่าวทั่วไปศูนย์ข่าวสืบสวน
- ศาลปกครองยกฟ้องคดี“เงินสินบน”ยึดทรัพย์“ทักษิณ”4.6 หมื่นล้าน
ศาลปกครองยกฟ้องคดี“เงินสินบน”ยึดทรัพย์“ทักษิณ”4.6 หมื่นล้าน
ศาลปกครองยกฟ้องคดีชายอ้างแจ้งเบาะแส “ทักษิณ”ทุจริตออกพันธบัตร 30,000 ล้าน จนนำไปสู่ยึดทรัพย์อดีตนายกฯ 4.6 หมื่นล้าน แต่ป.ป.ช.ปัดจ่าย ชี้ผู้ฟ้องไม่มีสิทธิตามกฎหมาย
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2556 เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่คำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีที่นายกฤษฎา กตบุญกูล ฟ้อง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) กรณีผู้ฟ้องอ้างว่าเป็นผู้ให้เบาะแสการชี้ช่องทุจริตของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับพวก จนนำไปสู่การยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ผู้ถูกฟ้องปฏิเสธที่จะให้สินบน ซึ่งศาลปกครองได้พิพากษาว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.มิได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรแต่อย่างใด (คดีหมายเลขดำที่ 383/2554 คดีหมายเลขแดงที่ 2934/2555 วันที่ 27 ธันวาคม 2555)
ผู้ถูกฟ้องอ้างว่า เป็นผู้แจ้งเบาะแสตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกดารป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และเป็นผู้แจ้งเบาะแสที่จะมีสิทธิที่จะได้รับเงินสินบน ตามระเบียบคณะกรรมการตรวจสอบ ว่าด้วยการจ่ายสินบนในการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของคณะกรรมการ ตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ พ.ศ.2549 จากการแจ้งเบาะแสชี้ช่องให้ข้อมูลแก่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และผู้ถูกฟ้องคดี (ป.ป.ช.) เกี่ยวกับการเอื้อประโยชน์ในการจัดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของรัฐบาลมูลค่า 30,000 ล้านบาท โดยให้ข้อมูลไว้แก่คตส. และป.ป.ช. ในคดีกล่าวหาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร่ำรวยผิดปกติ ต่อมาเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 โดยผลคดีของการยึดทรัพย์นั้นมีมูลทรัพย์ที่เกิดจากการแจ้งเบาะแสของผู้ฟองคดีอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง ในรูปแบบของหน่วยลงทุน ต่อมาผู้ฟ้องได้ติดต่อขอรับสิทธิเงินสินบนจากการเป็นผู้แจ้งเบาะแสต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่ ป.ป.ช.ผัดผ่อนโดยอ้างว่ายังไม่มีระเบียบการจ่ายเงินสินบนจึงขอให้รอระเบียบการจ่ายเงินสินบนให้แล้วเสร็จเสียก่อน
ต่อมาป.ป.ช.แจ้งว่า มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั้น คำพิพากษาให้เงินที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผลตกเป็นของแผ่นดิน ไม่ปรากฏว่าศาลได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเงินสินบนจากการแจ้งเบาะแสหรือให้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงอันเป็นผลให้ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาตกเป็นของแผ่นดินหรือมีคำวินิจฉัยให้จ่ายเงินสินบนให้แก่ผู้ใด
สำหรับกรณีผู้ฟ้องอ้างว่าได้ให้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ทุจริตต่อหน้าที่และร่ำรวยผิดปกติ ต่อ คตส.นั้น ปรากฏว่า คตส.ไม่ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้ตรวจสอบ ขณะที่ ป.ป.ช.มีมติว่าข้อกล่าวหาที่ว่าพ.ต.ท.ทักษิณใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ ทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการกรณีให้เอกชนจำหน่ายพันธบัตร 30,000 ล้านบาท ข้อกล่าวหาไม่มีมูล และคณะกรรมการป.ป.ช.ได้ออกประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่าด้วยการจ่ายเงินสินบน พ.ศ.2553 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2553 เป็นต้นไป ระเบียบนี้ไม่ได้ใช้บังคับในการชี้ช่องแจ้งเบาะแสก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าการพิจารณาของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. และการออกระเบียบดังกล่าวของ ป.ป.ช. เป็นการกระทำที่ขัดความเป็นธรรมและมีเจตนาขัดต่อกฎหมาย ทำให้ผู้ฟ้องคดีไม่ได้รับความเสียหายและไม่ได้รับความเป็นธรรม
ศาลปกครองพิจารณาแล้วเห็นว่า ระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่าด้วยการจ่ายเงินสินบน พ.ศ.2553 ผู้มีสิทธิที่จะได้รับเงินสินบนต้องเข้าเงื่อนไข 3 ประการ คือ1.นอกจากเป็นผู้ชี้ช่อง เบาะแส ให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เพิ่มผิดปกติ 2.ต้องปรากฏด้วยว่าทรัพย์สินที่เพิ่มผิดปกตินั้นศาลได้มีคำพิพากษาให้คดีถึงที่สุดแล้ว และ 3.เป็นกรณีที่ได้รับความเห็นชอบจากผู้ถูกฟ้องคดีด้วย
เมื่อคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ปรากฏข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าทรัพย์ที่ถูกยึดทรัพย์คงมีเฉพาะเงินปันผลค่าหุ้นและเงินที่ได้จากขายหุ้นพร้อมดอกเบี้ยของเงินจำนวนดังกล่าว โดยคำพิพากษามิได้กล่าวถึงเงินหรือทรัพย์สินเกี่ยวกับโครงการพันธบัตรออมทรัพย์ ของรัฐบาลมูลค่า 30,000 ล้านบาท ตามที่ผู้ฟ้องแจ้งเบาะแสไว้ต่อ คตส.หรือ ป.ป.ช.แต่อย่างใด และเงินในส่วนที่ผู้ฟ้องแจ้งเบาะแสไว้ต่อ คตส. ก็เป็นคนละส่วนกับเงินที่ถูกยึดทรัพย์
กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเงินหรือทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาตามที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าได้แจ้งเบาะแสไว้กับผู้ถูกฟ้องนั้น ศาลมีคำพิพากษาให้ตกเป็นของแผ่นดินแล้ว ประกอบกับ คณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่า ข้อกล่าวหาพ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ ทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการกรณีให้เอกชนจำหน่ายพันธบัตร 30,000 ล้านบาท ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ข้อกล่าวหาตกไป ผู้ฟ้องคดีจึงไม่อยู่ในฐานะ “เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสินบน” ตามระเบียบของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. และไม่ปรากฏให้เห็นว่าการใช้ดุลพินิจของ ป.ป.ช. ไม่ถูกต้องไม่ชอบธรรมด้วยกฎหมายอย่างไร ข้อกล่าวอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีใช้ดุลพินิจไม่เป็นธรรมไม่สุจริตจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ และเห็นว่าผู้ฟ้องคดีมิได้อยู่ในฐานะผู้แจ้งเบาะแสมีสิทธิที่จะได้รับเงินสินบนตามระเบียบว่าด้วยการจ่ายสินบนของ คตส. และ ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้เอาระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินสินบนของป.ป.ช. มาใช้บังคับกรณีการแจ้งเบาะแสของ คตส. ป.ป.ช.จึงไม่มีอำนาจเอาระเบียบว่าด้วยการจ่ายสินบนของ ป.ป.ช. มาพิจารณาโดยอนุโลมตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้ จึงเห็นว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีมิได้เป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมายและมิได้ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรอย่างใด
พิจารณายกฟ้อง
นายสุรเดช พหลภาคย์ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง ตุลาการเจ้าของสำนวน นายสิทธกานต์ สิทธิสุข ตุลาการศาลปกครองกลาง นายชำนาญ ปริบาล ตุลาการศาลปกครองกลาง นายวสันต์ เตียวตระกูล ตุลาการผู้แถลงคดี