- Home
- Investigative
- ข่าวทั่วไปศูนย์ข่าวสืบสวน
- สรุป 10 ข่าวเจาะแห่งปี 2556 สำนักข่าวอิศรา
สรุป 10 ข่าวเจาะแห่งปี 2556 สำนักข่าวอิศรา
สรุป 10 ข่าวเจาะแห่งปี 2556 สำนักข่าวอิศรา "เจาะขุมข่ายทลายขบวนการโกงภาษีแวต 4.3 พันล้าน -อวสาน “แซม” ป.ป.ช.ฟันผิดปกปิดหุ้นพักการเมือง 5 ปี-แกะรอย “2 รมต.” รบ.ยิ่งลักษณ์ ถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์"
ในรอบปี 2556 ที่ผ่านมา ศูนย์ข่าวสืบสวน สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้ทำหน้าที่สื่อสาธารณะ เพื่อปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ ผ่านข่าวเจาะจำนวนมากนับร้อยชิ้น ซึ่งในจำนวนนี้ มีผลงานข่าวเจาะ ที่ได้รับการตอบรับจากสังคมอย่างมาก จำนวน 10 ข่าว ปรากฎข้อมูลดังนี้
@ เจาะขุมข่ายทลายขบวนการโกงภาษีแวต 4.3 พันล้าน
เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2556 สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า กรมสรรพากรได้คืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทที่เพิ่งจดทะเบียนก่อตั้งในช่วงเดือน พ.ค. – ธ.ค. 2555 โดยประกอบธุรกิจประเภทเดียวกันคือรับซื้อ จำหน่าย นำเข้าและส่งออกแร่โลหะทุกชนิด ใช้ที่ตั้งในอาคารพื้นที่สีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ เป็นสำนักงาน และเบอร์โทรศัพท์เดียวกัน ในรอบปี 2555 – 2556 รวม 30 บริษัท เป็นเงินกว่า 3,647 ล้านบาท โดยในการจดทะเบียนจัดตั้งมีการใช้ชื่อบุคคล 1 คนเป็นกรรมการประมาณ 2 บริษัท โดยบุคคลที่ปรากฏชื่อเป็นกรรมการแต่ละบริษัททำหนังสือมอบอำนาจให้นายสุรเชษฐ์ มหารำลึก หรือนายวิษณุ อสุนีย์ เป็นผู้ยื่นจดทะเบียนจัดตั้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพฯ
นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบบริษัทในลักษณะเดียวกันนี้ในพื้นที่อื่น ๆ เช่น เขตบางคอแหลม ทุ่งครุ กรุงเทพฯ อ.บางบัวทอง อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี และสมุทรปราการอีก 33 บริษัท ทำให้ยอดรวมเครือข่ายกลุ่มนี้มีประมาณ 63 บริษัท โดยบริษัทในจำนวนนี้เฉพาะ 35 บริษัทมีการอนุมัติคืนภาษีมูลค่าเพิ่มรวม 4,298,564,817 บาท
เมื่อตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนพบว่ากรรมการและผู้ถือหุ้นที่ปรากฏในเอกสารการจัดตั้งนั้นส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาตามสำเนาบัตรประชาชนอยู่ในต่างจังหวัด และสำรวจที่ตั้งนับสิบแห่งพบเป็นห้องเช่าโล่ง ๆ ไม่ได้ตกแต่งหรือมีลักษณะเป็นสำนักงานประกอบธุรกิจแต่อย่างใด
พบบุคคลที่เกี่ยวข้อง 2 กลุ่มคือ กลุ่มนายวีรยุทธ แซ่หลก เจ้าของบริษัท ซีเอ็นบีซี เมทัล เทรด จำกัด คือ น.ส.สายธาร แซ่หลก นายสุรเชษฐ์ มหารำลึก นายประสิทธิ์ อัญญโชติ และนายกิตติศักดิ์ อัญญโชติ และกลุ่มนายสุรพล เมฆะอำนวยชัย เจ้าของ สนง.บัญชีเมฆพลชัย ซึ่งมีเครือญาติเป็นผู้สอบบัญชีให้ธุรกิจชิปปิ้ง และนายสุรพลยังปรากฏชื่อเป็นผู้สอบบัญชีให้บริษัทกลุ่มนายวีรยุทธทั้งหมด
นอกจากนี้สำนักข่าวอิศรา ยังตรวจสอบพบว่า นายสุรพล มีความเชื่อมโยงกับนายสุวัฒน์ จารุมณีโรจน์ ข้าราชการระดับ 8 หัวหน้าทีมกำกับตรวจสอบภาษี สนง.สรรพากรพื้นที่กรุงเทพฯ 27 และนายอุกฤษฎ์ จารุมณีโรจน์ ข้าราชการกรมสรรพากร สนง.พื้นที่ 22 บางรัก
จากความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มนายวีรยุทธ กับกลุ่มนายสุรพล พบว่า นายวีรยุทธ และน.ส.สายธาร จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2553 ชื่อบริษัท ซีเอ็นบีซี เมทัล เทรด จำกัด และจดเพิ่มอีก 9 บริษัทในเวลาต่อมา โดยบุคคลที่ปรากฏชื่อในเอกสารจดทะเบียน ล้วนเป็นบุคคลในสำนักงานบัญชีหรือมีความเชื่อมโยงกับนายสุรพลทั้งสิ้น จากนั้นกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ร่วมกันจดทะเบียนเพิ่มอีกหลายสิบแห่ง โดยปรากฏชื่อนายสุรพล เป็นผู้สอบบัญชีทั้งหมด
หลังจากนั้นกระทรวงการคลัง กรมสรรพากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และกรรมาธิการของสมาชิกวุฒิสภา ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2556 นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ได้แต่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงทำงานควบคู่ไปกับดีเอสไอ ส่วนของกรมสรรพากร นายสาธิต รังคศิริ อธิบดีได้ลงนามข้าราชการที่เกี่ยวข้อง คือนายศุภกิจ ริยะการ สรรพากรพื้นที่กรุงเทพฯ 22 และนายพายุ สุขสดเขียน สรรพากรพื้นที่สมุทรปรากร 2 มาช่วยราชการที่กรมสรรพากร
ต่อมาคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ได้มีมติเห็นชอบรับกรณีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไว้ตรวจสอบอย่างเป็นทางการ และเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2556 คณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน วุฒสิภา ได้เรียกนายสาธิต อธิบดีกรมสรรพากร และผู้เกี่ยวข้องให้ข้อมูลต่อ กมธ.
ส่วนดีเอสไอได้ทำหนังสือถึง ผอ.สำนักข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ให้ระงับการแจ้งเลิกและเสร็จการชำระบัญชีนิติบุคคลจำนวน 49 ราย ต่อมาศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับผู้เกี่ยวข้องตามข้อเสนอของดีเอสไอ 5 ราย คือ 1.นายวีรยุทธ แซ่หลก หรือนายธนยุทธ ดลธนโกเศศ 2.น.ส.สายธาร แซ่หลก 3.นายสุรเชษฐ์ มหารำลึก 4.นานยประสิทธิ์ อัญญโชติ และ 5.นายกิตติศักดิ์ อัญญโชติ ในข้อหากระทำความผิดฐานร่วมกันตามมาตรา 90/4 (6) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
ด้านผลสอบของคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของ ก.คลัง สรุปผลเบื้องต้นว่ามีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง 18 ราย แบ่งเป็นข้าราชการระดับสูงซี 9 จำนวน 4 ราย และข้าราชการระดับปฏิบัติงานอีกจำนวน 14 ราย แต่ไม่ปรากฏชื่อนายสาธิต อธิบดีกรมสรรพากร อย่างไรก็ตามคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ย้ายนายสาธิต ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง พร้อมแต่งตั้งให้นายสุทธิชัย สังขมณี เป็นอธิบดีกรมสรรพกรคนใหม่ และยังเห็นชอบแต่งตั้งให้นายราฆพ ศรีศุภอรรถ เป็นอธิบดีกรมศุลกากรคนใหม่
หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2556 ดีเอสไอได้สั่งฟ้องผู้ต้องหา 5 ราย คือ1.นายวีรยุทธ แซ่หลก หรือนายธนยุทธ ดลธนโกเศศ 2.น.ส.สายธาร แซ่หลก 3.นายสุรเชษฐ์ มหารำลึก 4.นานยประสิทธิ์ อัญญโชติ และ 5.นายกิตติศักดิ์ อัญญโชติ และได้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการขอให้พิจารณาดำเนินการฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเพื่อเรียกเงินคืน ส่วนข้าราชการที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องนั้น ก.คลังได้ส่งรายชื่อมา 19 คน (เสียชีวิต 1 คน) ได้แยกส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. ส่วนหนึ่งแล้ว นอกจากนี้ยังได้ส่งผลการสอบสวนไปยัง ก.คลัง เพื่อประกอบการดำเนินการ ทางการบริหารและวินัยข้าราชการด้วย
และเมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2556 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย จำนวน 117 รายการ รวมราคาประเมิน 131,773,846 บาท
ส่วนกระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างขั้นตอนการสอบสวนทางวินัย ข้าราชการที่เข้ามาเกี่ยวข้องในคดีนี้ เป็นจำนวนถึง 20 ราย
@ อวสาน “แซม” ป.ป.ช.ฟันผิดปกปิดหุ้น “วิลล่า เมดิก้า” พักการเมือง 5 ปี
ในช่วงปลายปี 2554 สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท วิลล่า เมดิก้า (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2554 ปรากฏชื่อนายยุรนันท์ ภมรมนตรี ถือครอง 144,500 หุ้น (หุ้นละ 100 บาท ทั้งหมด 940,000 บาท) และเมื่อตรวจสอบบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท โทรญ่า จำกัด เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2554 พบนางมาริษา ภมรมนตรี ภรรยานายยุรนันท์ ถือ 3,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท ทว่าเมื่อตรวจสอบในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายยุรนันท์ตอนรับตำแหน่ง ส.ส. วันที่ 31 สิงหาคม 2554 ไม่พบเงินลงทุนทั้ง 2 รายการ
อย่างไรก็ตามนายยุรนันท์ ชี้แจงว่า สาเหตุที่ไม่ได้แจ้งเงินลงทุนบริษัท วิลล่าฯ เพราะอยู่ในช่วงเกิดน้ำท่วม และภายหลังเมื่อทราบว่าขาดข้อมูลส่วนนี้ ก็ได้สั่งการให้ลูกน้องไปแจ้ง โดยอ้างข้อมูลสื่อมวลชน และแจ้งในช่วงเดือน ธ.ค. ก่อนหน้าที่ ป.ป.ช. มีหนังสือแจ้งมาให้ชี้แจงอีก ส่วนกรณีการไม่แจ้งการถือครองหุ้นบริษัท โทรญ่าฯ ของภรรยา มาจากความเข้าใจผิด ที่คิดว่าไม่มีหุ้นอยู่ในบริษัทแล้ว เพราะขายหุ้นไปนานแล้ว แต่บริษัทยังไม่ได้แก้ไขชื่อ แต่ในทางพฤตินัย ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันอีก จึงไม่ได้แจ้งข้อมูลดังกล่าวให้ ป.ป.ช. ทราบเช่นกัน
ทั้งนี้สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้ตั้งข้อสังเกตคำชี้แจงของนายยุรนันท์ ว่า 1.นายยุรนันท์ส่งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. หลังจากรัฐบาลประกาศจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ประมาณ 3 วัน โดยยื่นเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2554
2.การยื่นบัญชีทรัพย์สินเพิ่มเติมของนายยุรนันท์ เกิดขึ้นหลังจากสำนักข่าวอิศรารายงานข่าวเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2554
3.นายยุรนันท์กรอกแบบฟอร์มในตำแหน่งปัจจุบันของผู้ยื่นในหน่วยงานราชการหรือหน่วยงานเอกชนว่า “Vice President” บริษัท วิลล่า เมดิก้าฯ ระบุว่าได้รับเงินเดือน 1,440,000 บาท และได้ลงลายมือชื่อกำกับในเอกสารบัญชีทรัพย์สินที่ต้องยื่นต่อ ป.ป.ช. ทุกหน้า แต่กลับไม่ได้แจ้งการถือครองหุ้นดังกล่าวต่อ ป.ป.ช.
4.ทรัพย์สินหุ้นที่นายยุรนันท์มิได้แจ้งการถือครองต่อ ป.ป.ช. มูลค่า 14 ล้านบาท คิดเป็น 15,40 เปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์จำนวน 90.8 ล้านบาท
และ 5.บริษัท โทรญ่าฯ ที่นางมาริษา ถือครอง 3,000 หุ้น จากจำนวนทั้งหมด 10,000 หุ้น และไม่ได้แจ้งต่อ ป.ป.ช. นั้น พบว่าบัญชีผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2556 ไม่ปรากฏนางมาริษา แต่บริษัทยังคงประกอบกิจการ ไม่ได้ปิดกิจการแต่อย่างใด
หลังจากที่ ป.ป.ช. ได้นำข้อมูลของสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ไปใช้ขยายผลการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2556 ป.ป.ช. ชุดใหญ่ มีมติเป็นเอกฉันท์ว่านายยุรนันท์จงใจปกปิดไม่แจ้งการถือครองหุ้นบริษัท วิลล่า เมดิก้าฯ และไม่ได้ยื่นข้อมูลการถือครองหุ้นในสหกรณ์การบินไทยของภรรยาอีกจำนวน 3 ล้านบาท พร้อมเห็นชอบให้ยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้พ้นจากตำแหน่งและห้ามดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี
@ เจาะลึกขบวนการโกงภาษีนำเข้ารถหรู จากต่างประเทศ
ปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้ารถยนต์หรูจากต่างประเทศ เป็นเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน และสร้างความเสียหายให้กับประเทศเป็นจำนวนเงินหลายหมื่นล้านบาท
โดยจุดเริ่มต้นของข่าวนี้ มาจากการที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้รับแจ้งข้อมูลจากคนในทำเนียบรัฐบาล ถึงปัญหาความขัดแย้งในการทำงานสอบสวนเรื่องนี้ ระหว่างคนในรัฐบาล กับ อดีตผู้บริหารระดับสูงของ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ที่รับเรื่องนี้ไปตรวจสอบอย่างเป็นทางการ
จนกระทั่งพบว่ามีบริษัทผู้นำเข้ารถยนต์อิสระ จำนวนมาก มีการหลีกเลี่ยงภาษีการนำเข้ารถยนต์ โดยการสำแดงราคานำเข้าต่ำ ก่อนจะนำมาเสียภาษีในราคาถูก แต่ถูกผู้มีอำนาจในรัฐบาลดองเรื่องเอาไว้ เนื่องจากมีกระแสข่าวลือว่าเรื่องนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ผู้มีอำนาจทางการเมืองรายหนึ่ง
เบื้องต้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้แกะรอยข้อมูลจากผลการสอบสวนของ ป.ป.ท. และพบว่า บริษัทผู้นำเข้ารถยนต์อิสระ มีพฤติการณ์การหลีกเลี่ยงการเสียภาษีเกิดขึ้นจริง บางบริษัท เมื่อนำรถเข้ามาแล้ว ก็ปิดกิจการไปก่อนจะกลับมาจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเพื่อดำเนินธุรกิจลักษณะนี้อีกครั้ง และก็มีบางบริษัท ที่มีการนำชื่อคนตาย มาใช้เป็นผู้นำเข้ารถ ก่อนที่จะนำไปขายต่อให้กับบริษัทเอกชนผู้นำเข้ารถยนต์รายอื่นไปขายต่อในราคาแพง ก่อนที่รถยนต์จะตกไปอยู่ในความครอบครองของผู้มีสถานะดีในสังคมไทย
จากการตรวจสอบข้อมูลของสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org พบว่า ล่าสุดคดีนี้ ทางป.ป.ช. ได้รับเรื่องไปตรวจสอบอย่างเป็นทางการแล้ว โดยผู้ถูกกล่าวหาในคดีคือ นายราฆพ ศรีศุภอรรถ อธิบดีกรมศุลกากร คนปัจจุบัน กับพวกรวม 1 คน
@ พบ “2 รมต.” รบ.ยิ่งลักษณ์ ถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์
การตรวจสอบข้อมูลการถือครองหุ้นของนักการเมือง ที่เข้ามาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรี ของรัฐบาลชุดต่างๆ มักจะปรากฎข้อมูลการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายอยู่บ่อยครั้ง
ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็เช่นกัน โดยสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รมต.ว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายสรวงศ์ เทียนทอง รมช.ว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีพฤติการ์ส่อว่าจะถือครองหุ้นธุรกิจเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ของทุนจดทะเบียน และไม่แจ้งต่อประธาน ป.ป.ช. ภายในระยะเวลาที่ พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 กำหนดไว้
โดยนายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ตอนรับตำแหน่งวันที่ 30 มิ.ย. 2556 ระบุว่า นางวานิพรรณ เกษมทองศรี คู่สมรส มีเงินลงทุน 4 รายการ ซึ่งพบว่า 1 ในบริษัทที่ลงทุน คือบริษัท อัสราญ พรรณศรี จำกัด ทุนจดทะเบียน 28 ล้านบาท นางวานิพรรณ ถือครองหุ้นจำนวน 137,200 หุ้น มูลค่า 13,720,000 บาท คิดเป็น 49 เปอร์เซ็นต์ ของทุนจดทะเบียน
ทั้งนี้นายวิเชษฐ์ ชี้แจงว่า หุ้นที่ภรรยาถือครองอยู่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์เป็นธุรกิจเกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บค่าเช่าจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่ธุรกิจสัมปทานจึงไม่น่ามีปัญหาอะไร และตอนนี้ได้โอนกรรมสิทธิ์หุ้นให้บริษัทจัดการหุ้นรายหนึ่งดูแลแทนแล้ว
อนึ่ง ก่อนหน้าจะรับตำแหน่งเพียง 1 วัน นายวิเชษฐ์ ได้โอนหุ้นบริษัท ศรีไทย – ลาว ไมน์นิ่ง จำกัด จำนวน 8,000 หุ้น ให้นายพันธ์ศักดิ์ เกษมทองศรี น้องชาย นอกจากนี้จากการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนิ้สนที่นายวิเชษฐ์ยื่นต่อ ป.ป.ช. เมื่อตอนรับตำแหน่งวันที่ 30 มิ.ย. 2556 ก็ไม่พบรายการทรัพย์สินดังกล่าว
ส่วนนายสรวงศ์ เทียนทอง ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ตอนรับตำแหน่งวันที่ 30 มิ.ย. 2556 ระบุมีเงินลงทุนบริษัท เรฟ จำกัด ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท 2,000 หุ้น มูลค่า 200,000 บาท คิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ของทุนจดทะเบียน และนางญานิกา เทียนทอง คู่สมรส มีเงินลงทุนบริษัท เรฟฯ จำนวน 4,000 หุ้น มูลค่า 400,000 บาท คิดเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ของทุนจดทะเบียน และบริษัท เรฟ คิดส์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท จำนวน 4,900 หุ้น มูลค่า 490,000 บาท คิดเป็น 49 เปอร์เซ็นต์ของทุนจดทะเบียน
อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบข้อมูลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2556 พบว่า นายสรวงค์ ได้โอนหุ้นให้นายพุทธิพงษ์ ธงพานิช และนางญาณิกา ได้โอนหุ้นไปให้นางดวงใจ ธงพานิช เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2556 แล้ว แต่กรณีบริษัท เรฟ คิดส์ฯ นางญาณิกา ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเลิกบริษัทเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2556 คือหลังจากนายสรวงศ์รับตำแหน่งแล้วเกือบ 2 เดือน
ทั้งนี้นายสรวงศ์ ชี้แจงว่า ตนแค่มีชื่ออยู่ในบริษัท เรฟ คิดส์ฯ เท่านั้น แต่ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมใด ๆ
โดยเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2556 ป.ป.ช. มีมติว่านางวานิพรรณ เกษมทองศรี คู่สมรสนายวิเชษฐ์ถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์จริง และส่งเรื่องให้ กกต. ส.ส. ส.ว. รวมถึงนายกรัฐมนตรีให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดคุณสมบัติต่อไป
ส่วนกรณีนายสรวงศ์ นั้น ป.ป.ช. ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่า นายสรวงศ์ไม่ได้ดำเนินการฝ่าฝืน พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วน และหุ้น ของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 มาตรา 4 ที่มีข้อบัญญัติห้ามรัฐมนตรี และคู่สมรส ถือครองหุ้นในบริษัทจำกัดได้ไม่เกินร้อยละ 5 ของหุ้นจำนวนทั้งหมด และมาตรา 5 ในกรณีที่รัฐมนตรีประสงค์จะได้รับประโยชน์จากการถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 5 จะต้องทำเป็นหนังสือแจ้ง ประธาน ป.ป.ช.ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี ในกรณีของนายววรงค์เมื่อพิจารณาแล้วเห็นควรให้เรื่องดังกล่าวตกไป
@ ขุดหลักฐานมัด “อาจารย์นิติฯ”ม.บูรพา ปลอมลายมือ“ลูกศิษย์”เบิกเงินค่าดูงาน "ลม"
ม.บูรพา ได้ชื่อว่าเป็นแสนสนทยา ในความคิดของใครหลายคนหลากหลายเรื่องราว ที่แสดงถึงความไม่โปร่งใสในรั้วมหาวิทยาลัย ถูกปิดเงียบ ไม่ค่อยมีการเปิดเผยต่อสังคมภายนอกมากนัก
กรณี นิสิตปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ม.บูรพา ถูกอาจารย์รายหนึ่ง ปลอมลายมือชื่อ เพื่อนำไปใช้ประกอบเป็นหลักฐานเบิกจ่ายเงินงบประมาณในการเดินทางไปศึกษาดูงานนอกสถานที่ จำนวนมากด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ภายหลังจากได้รับการร้องเรียนจาก นิสิต ป.โท รายหนึ่ง ถึงปัญหาความไม่โปร่งใสในเรื่องนี้ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้เข้าไปตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก ทั้งในส่วนของเอกสารหลักฐานรวมถึงความเห็นของบุคคลที่เกี่ยวข้องจนพบว่า ข้อร้องเรียนดังกล่าวมีมูลความจริง
อาทิ การปลอมแปลงลายมือ นิสิต ในเอกสารแสดงรายชื่อผู้เข้าร่วมงาน , การปลอมแปลงเอกสารร่วมถึงลายมือชื่อ ผู้บริหารระดับสูงในหน่วยงานที่ถูกระบุว่า มีการทำเรื่องขอเข้าไปดูงาน เช่น สำนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ , วิทยาลัยการยุติธรรมทางปกครอง ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานศาลปกครอง
นอกจากนี้ ยังมีการปลอมแปลง ใบเสร็จรับเงินค่าจ้างรถรับส่ง รวมถึงใบเสร็จ เงินค่าอาหารว่าง จากร้านเบเกอรี่ ที่ไม่มีตัวตนด้วย
รวมไปทั้ง การปลอมใบเสร็จเบิกค่าอาหาร “บุฟเฟ่ต์” จัดงานปฐมนิเทศนิสิต ป.โท ม.บูรพา ถูกตรวจสอบพบหลักฐานชัดๆ จากแจ้งที่อยู่บริษัทส่งอาหาร ที่ระบุไว้ในใบเสร็จ เป็นคนละแห่งกับสถานที่ตั้งจริงของบริษัท
ผลจากการนำเสนอข่าวเรื่องนี้ แบบเกาะติด ในท้ายที่สุด ผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัย ได้มีมติลงนามไล่อาจารย์นี้รายออกจากมหาวิทยาลัย
@ เปิดตัวบริษัท ขายแก๊สน้ำตา ให้ “สตช.”
ในการชุมนุมขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ของ กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ในช่วงที่ผ่านมา
แก๊สน้ำตา จำนวนมาก เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ นำมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสลายการชุมนุม
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2555 เป็นต้นมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จัดซื้อลูกระเบิดแก๊สน้ำตาอย่างน้อย 2 ครั้ง คือครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 55 จัดซื้อจากบริษัท ยี.เอ็ช.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด วงเงิน 7,754,400 บาท และครั้งที่สอง 17 ก.ค. 56 จากบริษัท คราวน์ อินดัสตรี จำกัด วงเงิน 17,860,000 บาท โดยจากการตรวจสอบพบว่าทั้ง 2 บริษัท เป็นเครือข่ายเดียวกัน
นอกจากนี้ยังพบว่าระหว่างปี 2544 – 2556 บริษัท ยี.เอช.อินเตอร์เนชั่นแนลฯ และบริษัท คราวน์ อินดัสตรีฯ ได้รับว่าจ้างจัดซื้อจัดจ้างกับหน่วยงานรัฐอีกหลายแห่ง เช่น กองทัพ สตช. รวมมูลค่ากว่า 834,914,930 บาท
@ ขุด 32 รายชื่อบริษัท คู่ค้า “อาวุธ –ยุทโธปกรณ์” กองทัพ 1.8 หมื่นล้าน
นอกเหนือจากการตรวจสอบพบรายชื่อบริษัท ที่ดูเหมือนจะผูกขาด การขายแก๊สน้ำตาให้กับ สตช. มาอย่างยาวนานแล้ว
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ยังตรวจสอบข้อมูลพบว่า มีบริษัทเอกชน อย่างน้อย 32 ราย ที่ปรากฎรายชื่อเป็นคู่ค้ากับหน่วยงานในสังกัดกองทัพ เพื่อซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ รวมวงเงินกว่า 916,186,968 บาท
ขณะที่การจัดซื้อจัดจ้างอาวุธกับหน่วยงานกระทรวงกลาโหม ระหว่างปี 2544 – ปีงบประมาณ 2556 พบว่ามี 10 บริษัทที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่ของกองทัพถึง 1,210 ครั้ง ใช้วงเงินทั้งสิ้น 18,541,355,890 บาท คือบริษัท เสรีชัยยุทธภัณฑ์ จำกัด, บริษัท ชัยเสรี เม็ททอล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด, บริษัท ช.ไพศาล จำกัด, บริษัท โรยัลสกาย จำกัด, บริษัท ลัทธพลเทรดดิ้ง จำกัด, บริษัท ไทยเครื่องสนาม (2525) จำกัด, หจก.ไพบูลย์เศรษฐกิจ, บริษัท รอยัลดีเฟนส์ จำกัด, บริษัท ชัยเสรี (กรุงเทพ) จำกัด และบริษัท เบลล์ เฮลิคอปเตอร์ เอเซีย (พีทีอี) จำกัด
ทั้งนี้มีอยู่ 4 บริษัทที่มีความเชื่อมโยงกันคือ บริษัท เสรีชัยยุทธภัณฑ์ฯ ,บริษัท ช.ไพศาลฯ, บริษัท ชัยเสรีฯ และบริษัท ชัยเสรี เม็ททอลฯ
โดยบริษัท เสรีชัยยุทธภัณฑ์ฯ และบริษัท ช.ไพศาล จำกัด เป็นธุรกิจคนในตระกูล “ยอดวานิช” ส่วนบริษัท ชัยเสรีฯ และบริษัท ชัยเสรี เม็ททอลฯ เป็นธุรกิจคนในตระกูล “กุลหิรัญ” โดยทั้ง 2 ตระกูลเคยทำธุรกิจร่วมกันในชื่อบริษัท ชัยเสรีอิมปอร์ต จำกัดฯ และได้จดเลิกบริษัทในช่วงเวลาไล่เลี่ยที่ทั้ง 4 บริษัทของ 2 ตระกูล ปรากฏรายชื่อเป็นผู้รับจ้างจัดซื้ออาวุธให้ ก.กลาโหม จำนวน 588 ครั้ง รวมวงเงิน 9,761,246,505 บาท
โดยบริษัท เสรีชัยยุทธภัณฑ์ฯ เป็นบริษัทที่ปรากฏรายชื่อรับจ้างเป็นจำนวนมากที่สุด 214 ครั้ง รวมวงเงิน 3,410,865,730 บาท
@ “มติชน – สยามสปอร์ต” โดดรับพีอาร์โครงการ “สร้างอนาคตไทย 2020”
ในขณะที่ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับที่มาของกฎหมายว่า ถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่
รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามว่าจ้างบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) วงเงินกว่า 240 ล้านบาท เป็นผู้จัดงานประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ภายใต้ชื่องาน “สร้างอนาคตไทย 2020” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท
โดยการว่าจ้างงานนี้ ถูกตั้งข้อสังเกตหลายประเด็น อาทิ การไม่เปิดเผยราคากลางผ่านเว็บไซต์ ตามกฎหมาย ป.ป.ช. และการใช้วิธีพิเศษว่าจ้างบริษัทสื่อเอกชนเข้ามารับงาน ที่ไม่มีการสืบค้นหรือจัดหาข้อมูลจากบริษัทเอกชนรายอื่นมาประกอบการตัดสินใจในการจัดจ้างแต่อย่างใด ซึ่งอาจส่อเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของภาครัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว 2542)
ทั้งนี้ ในส่วนของประเด็นเรื่องการไม่ประกาศราคากลาง ทางพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รับไปตรวจสอบ เพื่อถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว
ส่วนประเด็นเรื่องการกระทำที่ส่อว่าจะฝ่าฝืนพ.ร.บ.ฮั้ว ยังไม่มีใครนำเรื่องไปยื่นต่อ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด
@ แกะรอยข้อมูล"ภรรยา พล.อ.เสถียร" ซุก โรงแรมจ.อุบล ป.ป.ช.สั่งอายัดเพิ่ม
เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2556 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดพร้อมอายัดทรัพย์สิน พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ในคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สิน หลังมีการตรวจสอบพบข้อมูลว่า มีเงินจำนวนมากไหลเข้าบัญชีของคู่สมรส นางณัฐณิชาช์ และบุตรบุญธรรม น.ส.ณิชาพัฒน์ อย่างผิดปกติ โดยเฉพาะในปี 2553 – 2554 มีเงินไหลเข้าออกกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเป็นเงินที่มาจาก พล.อ.เสถียร และมีทรัพย์สินบางส่วนถูกถ่ายเทไปอยู่กับบุคคลอื่นด้วย
หลังการชี้มูลของ ป.ป.ช. สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่านางณัฐณิชาช์ ปรากฏชื่อเป็นผู้บริหารและเจ้าของโรงแรม 2 แห่งใน จ.อุบลราชธานี หนึ่งในนั้นคือโรงแรมวารินบุรี วิลล่า&สปา ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ยังไม่ได้ถูกอายัด โดย ป.ป.ช. ตั้งข้อสังเกตนางณัฐณิชาช์ ได้ขายโรงแรมไป 1 แห่ง มีการซื้อขายกันจริงหรือไม่ หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2556 ป.ป.ช. ได้ออกคำสั่งอายัดโรงแรมวารินบุรีฯ เพิ่มเติมจากทรัพย์สินที่อายัดไว้ก่อนหน้า ก่อนจะมีการยื่นเรื่องฟ้องร้องคดีต่อ ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองในเวลาต่อมา
ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2556 นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดี พล.อ.เสถียร ในคดีร่ำรวยผิดปกติ (เป็นคดีที่สองต่อจากคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สิน ได้แถลงความคืบหน้าการไต่สวนคดีนี้) หลังจากที่เปิดให้ พล.อ.เสถียร แจ้งทรัพย์สินเข้ามาใหม่ ซึ่งพบว่ามีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมเป็นจำนวน 600 กว่าล้านบาท
โดยนายวิชาระบุว่าหลังจากไต่สวนและตรวจสอบว่า พล.อ.เสถียรมีพฤติกรรมน่าเชื่อว่ามียักย้ายถ่ายโอนซุกซ่อนทรัพย์สิน ป.ป.ช.จึงมีมติอายัดทรัพย์สินไว้รวม 4 ครั้ง รวมมูลค่า 94 ล้านบาท ต่อมาแจ้งข้อหาร่ำรวยผิดปกติ ทั้งเงินฝาก ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ยานพาหนะและสิ่งอื่นๆ ทั้งในชื่อ พล.อ.เสถียรและคำใกล้ชิด หลังจากนั้น พล.อ.เสถียรได้มารับทราบข้อหาและยื่นเอกสารชี้แจงข้อกล่าวหาแล้วหลายครั้ง ทั้งนี้ ป.ป.ช.ได้ถอนอายัด 1 ครั้ง เป็นที่ดินที่มีบุคคลภายนอกถือกรรมสิทธิ์ร่วม
เบื้องต้น ป.ป.ช. ได้อายัดทรัพย์สินของ พล.อ.เสถียรเพิ่มเติม โดยเป็นการอายัดทรัพย์สินในส่วนของคู่สมรสและทรัพย์สินที่คู่สมรสโอนให้บุคคลอื่น เนื่องจากเชื่อว่ามีการยักย้ายถ่ายโอนซุกซ่อนทรัพย์สินดังกล่าว ประกอบด้วย ที่ดิน 1 แปลงใน จ.ขอนแก่น และ 10 แปลงใน จ.อุบลราชธานี 2.หุ้นสามัญบริษัทกฎหมายเรืองสิทธิ์ จำนวน 2 หมื่นหุ้น และ 3.รถยนต์ยี่ห้อฮัมเมอร์อีก 1 คัน และคาดว่าจะสรุปสำนวนให้ที่ประชุม ป.ป.ช.พิจารณาได้ในเดือน ม.ค.2557 นี้
นอกจากนี้ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ยังได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีมีผู้ใช้ชื่อว่า anniey arnie โพสต์คลิปเสียง ความยาว 1.35 นาที ผ่านเว็บไซต์ยูทูป ซึ่งเป็นบทสนทนาของชายคนหนึ่ง กำลังสั่งการให้มีการเจรจาต่อรองกับบริษัทเอกชนที่เข้ามารับงาน โดยขอเรียกรับส่วนแบ่งเป็นจำนวนเงิน 10% และถูกคนในโลกออนไลน์ตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าของเสียงในคลิปดังกล่าว อาจจะเป็นของ “ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี”
ทั้งนี้ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้เข้าไปติดตามตรวจสอบคดีนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งข้อเท็จจริงของบุคคลในคลิปเสียง รวมถึงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง งานอีเวนต์ต่างๆ ภายในจังหวัดอุบล จนกระทั่ง นายวันชัย สุทธิวรชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ออกมายอมรับว่าถูกตัดต่อเสียง ก่อนจะถูกย้ายด่วนเข้ามาช่วยงานในกระทรวงมหาดไทย หลังถูกผู้บริหารในกระทรวงมหาดไทยสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน
แต่ในท้ายที่สุด ผลสอบของกระทรวงมหาดไทย ปรากฏออกมาว่า นายวันชัย ถูกตัดต่อคลิปเสียงจริง และได้กลับเข้าไปรับตำแหน่งผู้ว่าฯ อุบล ตามเดิม ท่ามกลางเสียงกังขาของใครหลายคน
@ เปิดขุมข่าย“เสี่ยตัน โออิชิ”เชื่อม พานทองแท้ ชินวัตร - สรยุทธ สุทัศนะจินดา
ชื่อของ “เสี่ยตัน”หรือนายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด กลับมาได้รับความสนใจจากคนในโลกโซเชียลมีเดียอย่างล้นหลามอีกครั้ง
หลังจากออกตัวแรง แสดงความเห็นคัดค้านต่อมาตรการอารยะขัดขืน รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ได้ประกาศยกระดับการชุมนุม แบบชัดเจน ว่าไม่เห็นด้วยผ่านสื่อฉบับหนึ่ง
เสี่ยตัน ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการประกาศให้คนงานหยุดงาน และชะลอการจ่ายภาษี เพราะมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม จะทำให้รัฐเสียรายได้ และเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
พร้อมยังระบุว่า กลุ่มผู้ชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนินจะไม่ยืดยาว เพราะจะเกิดการสูญเสียในหลายๆ ด้าน ทั้งภาคเศรษฐกิจและการลงทุนของไทย เนื่องจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และหันไปลงทุนกับประเทศอื่นๆ ทั้งยังกระทบกับภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยอีกด้วย
คล้อยหลังไปไม่กี่ชั่วโมง หลังคำให้สัมภาษณ์ของ“เสี่ยตัน”ถูกเผยแพร่ออกมาต่อสังคม
ปรากฏว่า"เสี่ยตัน"แทนที่จะได้รับความเห็นใจจากสังคมในฐานะนักธุรกิจ ที่มักจะประสบปัญหาทางธุรกิจทุกครั้งที่เกิดการชุมนุมในบ้านเมือง
กลับถูกโจมตีอย่างหนักจากประชาชนที่สนับสนุนแนวคิดการชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ขณะที่แกนนำผู้ชุมนุมที่เวทีราชดำเนิน ก็โกรธแค้นมากขึ้น ขนาดนำชื่อ ของ เสี่ยตัน ขึ้นไปประจานต่อว่าบนเวทีอย่างเผ็ดร้อน
ทั้งนี้ หนึ่งในข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการทำธุรกิจของ "เสี่ยตัน" ที่กำลังได้รับความนิยมจากคนในโลกออนไลน์ ส่งแชร์ต่อกันเป็นจำนวนมาก มีข้อมูลเกี่ยวกับข่าวกรณีที่เสี่ยตัน ขายหุ้นบริษัท เพลินจิตอาเขต จำกัด (เดิมชื่อบริษัท เสถียรสุต จำกัด) จดทะเบียนวันที่ 26 ม.ค.2511 ทุน 20 ล้านบาท ปัจจุบัน 200 ล้านบาท ประกอบธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ที่ตั้งเลขที่ 1291/1 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ให้แก่บริษัท เวิร์ธ ซัพพลายส์ จำกัด (ชื่อปัจจุบัน บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด) ซึ่งมีนายพานทองแท้ ชินวัตร คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ และคนในครอบครัวชินวัตร ที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบ ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2555 รวมอยู่ด้วย
ล่าสุดยอดจำนวนคนในโลกออนไลน์ที่เข้ามาดูข่าวเรื่องนี้ ของสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เพิ่มขึ้นอีกหลายหมื่นคน ทั้งที่ เรื่องนี้ ผ่านระยะเวลาที่นำเสนอครั้งแรก มาเกือบปีแล้ว
โดยจุดเริ่มต้นของข่าวนี้ เกิดขึ้นจากการที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้ขยายผลการตรวจสอบข้อมูลคอนเนกชันธุรกิจระหว่าง "เสี่ยตัน กับ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา นักเล่าข่าวชื่อดังผ่านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หลังจากคนในสังคมเริ่มตั้งข้อสังเกตถึงการให้พื้นที่ข่าวเกี่ยวกับเสี่ยตัน ของนายสรยุทธ ว่ามีอะไรพิเศษมากกว่าแหล่งข่าวคนอื่นๆหรือไม่
จนกระทั่งพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในช่วงปลายปี 2554 เสี่ยตัน ได้ขาย บริษัท เพลินจิต อาเขต จำกัด ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้กับ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์และทายาท คือนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร ผ่านบริษัท เวิร์ธ ซัพพลาย จำกัด (ชื่อปัจจุบัน บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด) ไปเมื่อปลายปี 2554
ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2556 ครอบครัวชินวัตรได้ยื่นจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อ บริษัท เพลินจิตอาเขต จำกัด เป็น บริษัท เรนด์เพลินจิตโฮเต็ล จำกัด อย่างเป็นทางการ
อันนำมาสู่ข้อสงสัยเรื่อง คอนเนกชันธุรกิจ ของเสี่ยตัน กับคนในตระกูล"ชินวัตร" ว่าแท้จริงแล้วมีความลึกซึ้งมากน้อยขนาดไหน
ล่าสุดในช่วง กลางเดือน พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบข้อมูล เพิ่มเติมพบว่า นายตัน ภาสกรนที เจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มชาเขียวและทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันเป็นเจ้าของธุรกิจ 30 บริษัทแบ่งเป็น 3 ประเภท
1.ธุรกิจให้เช่าพื้นที่ อสังหาริมทรัพย์ และโรงแรม 11 บริษัท
2.ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 6 บริษัท
3.ธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพ 13 บริษัท
รวมทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 1,883,950,000 บาท สินทรัพย์ 8,131,668,675 บาท
ในจำนวนนี้ธุรกิจที่สร้างรายได้มากสุด ได้แก่ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตเกี่ยวกับอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องบริโภคอื่น จดทะเบียนวันที่ 3 กันยายน 2553 (แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนวันที่ 11 ก.ค.2556 ) ทุน 1,300 ล้านบาท ปี 2555 แจ้งรายได้ 4,482,902,129 บาท กำไรสุทธิ 873,331,639 บาท สินทรัพย์ 5,371,017,322 บาท
ทั้งหมดนี้ คือ ผลงานข่าวเจาะ ในรอบปี 2556 ที่ผ่านมา ของสำนักข่าวอิศรา