- Home
- Investigative
- ข่าวทั่วไปศูนย์ข่าวสืบสวน
- อุทธรณ์ฟังขึ้น! 'สกอ.' เพิกถอนคำสั่งไล่ออกราชการ อดีตอธิการฯ ม.อุบล-สวนมติป.ป.ช.
อุทธรณ์ฟังขึ้น! 'สกอ.' เพิกถอนคำสั่งไล่ออกราชการ อดีตอธิการฯ ม.อุบล-สวนมติป.ป.ช.
เผยมติ 'ก.อ.ร.' ให้ 'สกอ.' เพิกถอนคำสั่งลงโทษวินัยร้ายแรงไล่ออก อดีตอธิการฯ ศ.ประกอบ วิโรจนกุฎ คดีถูกป.ป.ช.ชี้มูลความผิดเหตุอนุมัติยืมเงินสำรองมิชอบ ระบุอุทธรณ์ฟังขึ้น แจ้ง 'ม.อุบล' เยียวยาสิทธิอันพึงมีพึงได้ด้วย
สืบเนื่องจากกรณีนายสุภัทร จำปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ลงนามคำสั่งไล่ออก ศ.ประกอบ วิโรจนกุฎ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ออกจากราชการ กรณีอนุมัติให้ยืมเงินสำรองหมุนเวียนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และอนุมัติให้กู้ยืมเงินสวัสดิการเพื่อการศึกษาแก่บุคลากรภายในมหาวิทยาลัยโดยมิชอบ หลังมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดทางวินัยร้ายแรงแก่ ศ.ประกอบ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ว่าด้วยการเงินและทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พ.ศ.2534 และใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่อยู่ในวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี พ.ศ.2533
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้ทำหนังสือแจ้งถึง ศ.ประกอบ วิโรจนกุฎ เกี่ยวกับผลอุทธรณ์คำสั่งไล่ออกจากราชการ ระบุว่า ตามที่ ศ.ประกอบ ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยร้ายแรง ตามคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา ที่ 37 /2560 ลงวันที่ 2 ก.พ.2560 ต่อคณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์และร้องทุกข์ (ก.อ.ร.) นั้น บัดนี้ ก.อ.ร. ในการประชุมครั้งที่ 4/2560 เมื่อวันที่ 25 ก.ค.2560 ได้พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงแก่ ศ.ประกอบ และแจ้งให้มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ดำเนินการเยียวยาสิทธิอันพึงมีพึงได้ตามกฎหมายแก่ ศ.ประกอบ ด้วย เนื่องจาก ศ.ประกอบ ได้ยื่นอุทธรณ์ว่ามีมติว่าการดำเนินการทางวินัยล่วงเลยระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่ ถูกพักราชการ จึงให้อุทธรณ์ฟังขึ้น (ดูเอกสารประกอบ)
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ก่อนหน้านี้ กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาขอให้วินิจฉัย กรณีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ลงโทษไล่ออกนายประพัน ไพรอังกูร อดีต ผอ.กองกลาง กรมพลศึกษา ออกจากราชการ ตามผลการชี้มูลความผิดของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เนื่องจากปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมการตรวจการจ้างงานก่อสร้างและปรับปรุงสนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติฯ (คลองหก) ได้พิจารณางด และลดค่าปรับให้กับผู้รับจ้างโดยมิชอบ ถือว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานทุจริต และผิด พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 และผิดตามประมวลกฎหมายอาญาด้วย
โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางวินัยร้ายแรงแก่นายประพัน จึงต้องถือว่าการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นที่ยุติโดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอีก และให้ถือรายงานเอกสารและความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นสำนวนการสอบสวนทางวินัย เมื่อผู้บังคับบัญชาพิจารณาโทษทางวินัยตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยกรมพลศึกษาได้ลงโทษไล่ออกนายประพัน ออกจากราชการ และนายประพันไม่ได้อุทธรณ์คำสั่งลงโทษไล่ออกแก่ ก.พ. ภายใน 30 วัน จึงเสียสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาอุทธรณ์
ส่วนกรณีนายประพันมีหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออธิบดีกรมพลศึกษานั้น แม้เจ้าหน้าที่จะไม่มีอำนาจรับคำอุทธรณ์ไว้พิจารณา แต่โดยมาตรา 49 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 กำหนดให้เจ้าหน้าที่หรือผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่มีอำนาจเพิกถอนคำสั่งทางปกครองได้ ไม่ว่าจะพ้นขั้นตอนการกำหนดให้อุทธรณ์หรือโต้แย้งตามกฏหมายนี้หรือกฏหมายอื่นมาแล้วหรือไม่
อย่างไรก็ดีการพิจารณาเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ไต่สวนและวินิจฉัยเป็นที่ยุติแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญเคยวางแนวทางวินิจฉัยกรณีนี้ไว้แล้ว สรุปได้ว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ป.ป.ช.) เป็นกฎหมายเฉพาะที่กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นกลไกตรวจสอบอำนาจรัฐ ต่างจากกฎหมายทั่วไป การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. โดยไต่สวนและวินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดทุจริตต่อหน้าที่ซึ่งเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ถือได้ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. บัญญัติไว้ครบถ้วนแล้ว การวินิจฉัยข้อเท็จจริงและมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติชั่วร้ายแรง จึงต้องฟังเป็นที่ยุติ องค์กรที่มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ไม่อาจก้าวล่วงไปพิจารณาในข้อเท็จจริงและฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลไว้แล้ว คงทำได้เพียงพิจารณาการใช้ดุลยพินิจเปลี่ยนแปลงโทษที่ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนได้คำสั่งลงโทษไปแล้วตามฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเท่านั้น กรมพลศึกษาจึงอาจรับคำร้องดังกล่าวในฐานะคำร้องเรียนเพื่อใช้เป็นข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปได้
อย่างไรก็ดีปรากฏว่า นายประพัน ถูกล้างมลทินตาม พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ.2550 แล้ว ดังนั้นโทษที่นายประพันได้รับถูกล้างมลทินไปแล้ว ให้ถือว่าไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยในกรณีนั้น ผู้บังคับบัญชาจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจเปลี่ยนแปลงโทษตามคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการได้
ในประเด็นที่ว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลอาญายกฟ้องนายประพันว่าไม่มีความผิดตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนั้น เห็นว่า การดำเนินการทางวินัยและการดำเนินคดีอาญามีความมุ่งหมายและวิธีพิจารณาที่แตกต่างกัน การดำเนินการทางวินัยจึงไม่จำต้องสอดคล้องหรือตามผลการดำเนินคดีอาญาแต่อย่างใด แม้ศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องก็ตาม
ส่วนแนวทางอื่นใดที่สามารถแก้ไขปัญหาความเป็นธรรมให้แก่นายประพันได้นั้น เห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม หน่วยงานทางปกครองย่อมมีอำนาจพิจารณาใช้ดุลพินิจเท่าที่ไม่ขัดกฎหมาย เพื่อเยียวยาให้ได้รับความเป็นธรรมตามข้อเท็จจริงแต่ละกรณีได้ตามที่เห็นสมควร แต่ต้องไม่ขัดกับ พ.ร.บ.ล้างมลทินฯ ที่กำหนดให้การล้างมลทินตามมาตรา 4 และมาตรา 5 ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ได้รับการล้างมลทินที่จะเรียกร้องสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ (อ่านประกอบ : กฤษฎีกายัน ป.ป.ช.ฟันผิดวินัย ผู้บังคับบัญชาเปลี่ยนโทษไม่ได้ แม้ศาลยกฟ้องคดีอาญา)
อ่านประกอบ :
สกอ.ไล่ออก'อดีตอธิการฯม.อุบล'ย้อนหลังปี53-ป.ป.ช.ชี้มูลคดีทอดกฐิน-ให้ทุนมิชอบ