- Home
- Investigative
- การทำผิดของเอกชน
- ดีเอสไอ เตรียมสั่งอายัดบัญชี ขรก.สรรพากร เอี่ยวคดีคืนเงินภาษี 4.2 พันล้าน
ดีเอสไอ เตรียมสั่งอายัดบัญชี ขรก.สรรพากร เอี่ยวคดีคืนเงินภาษี 4.2 พันล้าน
“ดีเอสไอ- กระทรวงการคลัง- ปปง.” ร่วมกันเปิดแถลงข่าวชี้แจงความคืบหน้าคดีสรรพากรคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 4.2 พันล้าน “ธาริต” ระบุเตรียมออกหมายจับผู้บงการตัวจริงเสียงจริงล็อตแรก ปลายหรือต้นสัปดาห์หน้า - สั่งอายัดบัญชี ขรก. มีส่วนเกี่ยวข้อง 17 ก.ค.นี้ - บอกทำใจ ตามคืนเงินไม่ครบทั้งหมดแน่
(ภาพเอ็กซเรย์รถขนสินค้า ของกลุ่มบริษัทขอคืนภาษี ต้นทุนสินค้า 11 บ./กก. แต่สำแดงราคา 600 บ./กก.)
ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2556 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงผลการประชุมติดตามความคืบหน้าการสอบสวนคดีกรมสรรพากรคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) วงเงิน 4.2 พันล้านบาท ให้กับบริษัทเอกชนจำนวน 53 ราย ร่วมกับตัวแทนกระทรวงการคลัง และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ว่า ขณะนี้ ดีเอสไอ ได้สั่งอายัดเงินในบัญชี ของกลุ่มนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไปแล้ว จำนวน 53 ราย บุคคลธรรมดา 50 ราย รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องอีก 4 ราย และในที่ประชุมครั้งนี้ มีข้อสรุปให้ส่งข้อมูลกลุ่มบุคคลต้องสงสัยเพิ่มเติมให้ ปปง.วิเคราะห์ข้อมูลอีกจำนวนหนึ่ง มีทั้งญาติ และคนที่อยู่เบื้องหลัง เมื่อ ดีเอสไอได้รับข้อมูลส่งกลับมาจากปปง.แล้ว จะสั่งอายัดบัญชีเพิ่มเติมอีกครั้ง โดยไม่มีละเว้นให้กับใคร ทำงานแบบตรงไปตรงมา
“จากการหารือร่วมกันของ 3 หน่วยงาน ได้ข้อสรุปว่า ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ หรือต้นสัปดาห์หน้า จะมีการขอศาลออกหมายจับ พวกที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เป็นตัวใหญ่ ตัวจริงเสียงจริง เป็นกลุ่มไม่ใช่คนเดียว แต่ยังเปิดชื่อไม่ได้ ถือเป็นการออกหมายจับล็อตแรก และจะมีเป็นล็อตๆ ตามมาอีก” นายธาริต กล่าวและว่า จะมีการประสานขอข้อมูลเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จากกระทรวงการคลัง เพื่อนำมาใช้ประกอบการสอบสวน และสั่งอายัดบัญชีเจ้าหน้าที่ร่วมกระบวนการด้วย
นายธาริต กล่าวต่อไปว่า ยืนยันว่าการสอบสวนเรื่องนี้ ทั้ง 3 หน่วยงาน ให้ความสำคัญและเร่งทำงานกันอย่างจริงจัง ข้อมูลที่ปรากฏชัดเจนในขณะนี้คือ มีการตั้งนิติบุคคลกำมะลอจำนวนมาก มาขอคืนภาษี จากสํานักงานสรรพากรพื้นที่ บางรัก และสมุทรปราการ โดยบริษัทเหล่านี้รู้เห็นเป็นใจกันหมด ทำการขอคืนภาษีเท็จด้วยการสำแดงราคาสินค้าส่งออกเกินจริง รวมถึงมีการปลอมแปลงเอกสารสำคัญด้วย
“จากการตัวสอบพบว่า บริษัททั้ง 53 ราย ทำธุรกิจส่งออกสินค้าเหล็กไปต่างประเทศ แต่ในข้อเท็จจริงเป็นการส่งออกเศษเหล็ก มีราคาจริงแค่ 11 บาทต่อกิโลกรัม แต่แจ้งราคาอยู่ที่ 600 บาท ต่อกิโลกรัม และอาศัยช่องโหว่ของระเบียบฉ้อโกงเงินภาษีจากรัฐไป"
นายธาริต กล่าวต่อไปว่า จากการสอบสวนข้อมูลในเบื้องต้น สามารถแยกประเด็นปัญหาของเรื่องนี้ออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. ในส่วนของเอกชน ตรวจสอบพบว่า มีเจตนาฉ้อโกง ทำเอกสารสิทธิเป็นเท็จ ปรากฏหลักฐานชัดเจน ทำงานเป็นแก็งค์เป็นกลุ่ม วางแผนอย่างแยบยล ใช้ช่องทางต่างๆ ทุกมิติ ในการเข้ามาโกงภาษีอากรจากรัฐ เพื่อไปเป็นประโยชน์ของตนเอง และได้รับแจ้งข้อมูลจากกระทรวงการคลัง ว่าขบวนการนี้ ทำกันมา 2 ปีกว่าแล้ว ก่อนหน้านี้ มีการทดลองทำแบบเล็กๆ แต่ในช่วง 3-4 เดือนที่แล้ว ลงมือทำครั้งใหญ่ และได้เงินไปจำนวนมากถึง 4 พันกว่าล้านบาท
2. ในส่วนของภาครัฐ พบปัญหาอยู่ 3 มิติ คือ 1. ช่องว่างระเบียบข้อบังคับการคืนภาษี ซึ่งทั้ง 3 หน่วยงาน จะมีการจัดทำข้อเสนอเพื่อนำไปสู่การแก้ไขระเบียบให้ไม่มีช่องว่างต่อไป 2. กรมศุลกากร และกรมสรรพากร มีช่องว่างในการประสานงานกัน ต้องทำงานให้ไม่มีรอยต่อ ไม่เช่นนั้นจะเป็นช่องว่างในการทุจริต ซึ่งจะมีการเสนอแนวทางแก้ไขเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน และ 3. ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐ ขณะนี้ยืนยันได้ว่าเรื่องนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามีเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน ส่วนจะมากน้อยแค่ไหน ต้องรอผลการตรวจสอบอีกครั้ง
นายธาริต กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับนิติบุคคลที่ปรากฏรายชื่อ ทั้ง 53 ราย เหมือนเป็นหน้าฉาก เป็นชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย จะมีการกันตัวไว้เป็นพยานจะดำเนินคดีกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังตัวจริงเป็นหลักเท่านั้น
“ดีเอสไอ ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ทำการตรวจสอบคดีนี้ ให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน ขณะนี้ผ่านไปแล้ว 1 เดือน มีความคีบหน้าไปว่า คิดว่าในช่วงเวลาที่เหลืออีก 1 เดือน น่าจะทำงานได้แล้วเสร็จ ตามกำหนดอย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องมีการขยายเวลาเพิ่ม”
เมื่อถามว่า ชาวบ้านที่ปรากฏชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นบริษัท ที่ได้รับคืนภาษีอ้างว่า ถูกหลอก โดยได้รับจ่ายเงินให้หัวละ 500 บาท เพื่อแลกกับการทำข้อมูลประกันสังคม
นายธาริต ตอบว่า “มันเป็นการสอบสวนเบื้องต้น ฟังขึ้นหรือไม่ขึ้น ก็ต้องดูพฤติการณ์ประกอบ ว่าจริงๆ แล้ว เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า เพราะในจำนวนบริษัท 53 ราย ไม่ได้มีแค่ชาวบ้านอย่างเดียว มีตัวแสบ ที่จะถูกออกหมายจับรวมอยู่ด้วย ถ้าเป็นชาวบ้านจริงๆ ไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง กับเรื่องเงิน เงินภาษีที่คืนไปไม่ถึงตัว ไม่เคยยุ่ง ก็ชัดเจน แต่ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ได้เงินกับเขาด้วย ก็ต้องถูกดำเนินคดี"
“ในส่วนข้อหาที่ตั้งไว้ขณะนี้ มี 2 ส่วน คือ การฉ้อโกง และการปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งถือว่าเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน”
ผู้สื่อข่าวถามว่า เงินจำนวน 4 พันกว่าล้านบาท ที่ถูกฉ้อโกง ไปยังอยู่ในประเทศไทย หรือถูกส่งออกไปต่างประเทศ
นายธาริต ตอบว่า “กำลังตรวจสอบข้อมูลว่าอยู่ที่ไหน อย่างไร แต่ยอมรับเลยว่า พวกนี้เป็นอาชญากรรมเศรษฐกิจ วางแผนกันมาเป็นอย่างดี ทันทีที่เงินออกจากรัฐ ก็มีการถ่ายเทยักย้ายทันที เพราะฉะนั้นเรายอมรับว่า ไม่สามารถนำกลับคืนมาทั้งหมด แต่จะทำเท่าที่ทำได้ ขณะนี้ ปปง. มาช่วยเต็มที่ แต่สิ่งที่หวังก็คือ ขอให้เป็นกรณีสุดท้ายของบ้านเมือง”
เมื่อถามว่า กลุ่มคนที่จะถูกออกหมายยังอยู่ในประเทศหรือหนีไปแล้ว
นายธาริต ตอบว่า “ มีข่าวว่าบางคนอาจจะหลบหนี บางคนยังอยู่ นี่เป็นเหตุผลที่ออกชื่อไม่ได้”
เมื่อถามว่า ข้าราชการที่ถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องยังอยู่หรือไม่
นายธาริตตอบว่า “ข้าราชการยังไม่มีลาออกหรือหายไป ยังอยู่ครับ”
เมื่อถามว่า ยืนยันว่าจะต้องมีการสั่งอายัดบัญชีของข้าราชการ นายธาริต ตอบว่า เป็นการอายัดบัญชีเพื่อตรวจสอบ แม้ว่ายังอยู่ในขั้นตอนการพิสูจน์ว่าผิดหรือไม่ผิด แต่อยู่ในข่ายต้องสงสัย กระทรวงการคลัง จะนำข้อมูลรายชื่อมาให้ ในวันที่ 17 ก.ค.นี้ จำนวนน่าจะอยู่ที่หลัก 10 ขึ้นไป ส่วนการดำเนินการทางวินัยเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังในฐานะหน่วยงานต้นสังกัด จะเป็นผู้รับผิดชอบ
เมื่อถามว่า ในหมายจับที่ออกไป มีข้าราชการ รวมอยู่ด้วย
นายธาริต ตอบว่า “ไม่ขอตอบ”
ส่วนนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (17 ก.ค.) ตนจะเป็นผู้นำส่งข้อมูลข้าราชการที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ให้ดีเอสไอด้วยตนเอง
ส่วนจะมีใครบ้างนั้น ยังบอกไม่ได้ เพราะ นายประสิทธิ์ สืบชนะ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ จะเป็นผู้รวบรวมข้อมูลและส่งมาให้ตนอีกครั้ง
เมื่อถามว่า ข้าราชการที่ถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ นอกเหนือจากพื้นที่ บางรัก และสมุทรปราการแล้วจะมีพื้นที่อื่นด้วยหรือไม่ นายรังสรรค์ ระบุว่า "ยังบอกไม่ได้ กำลังตรวจสอบข้อมูลอยู่"
เมื่อถามย้ำว่า ในกลุ่มข้าราชการที่จะส่งข้อมูลให้ดีเอสไอ มีข้าราชการระัดับซี 9 ในพื้นที่บางรัก และสมุทรปราการรวมอยู่ด้วยใช่หรือไม่ นายรังสรรค์ ตอบว่า "อันนี้ มีแน่นอน"
อย่างไรก็ตาม นายรังสรรค์ ระบุว่า นอกเหนือจากกลุ่มธุรกิจส่งออกสินค้าโลหะ ที่ถูกตรวจพบว่ามีปัญหาเรื่องการคืนภาษีอยู่ในขณะนี้ แล้ว ล่าสุดปลัดกระทรวงการคลังได้มอบหมายให้ไปดูว่ามีสินค้าประเภทอื่น ที่ส่อว่าจะมีปัญหาซ้ำรอยหรือไม่ ซึ่งก็แววๆ ว่าอาจจะมีอีก แต่ยังไม่ขอเปิดเผยข้อมูลในขณะนี้
ขณะที่นางศิวาพร ชื่นจิตต์ศิริ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม กล่าวว่า คดีนี้ ทีมงานและคณะทำงานตั้งใจ และทุ่มเทกำลัง เพื่อนำคนผิดมาลงโทษให้ได้ พร้อมเรียกเงินรัฐกลับคืนมา และถ้าไม่มีการตรวจสอบเรื่องนี้ เชื่อว่าตัวเลขความเสียหายจะต้องมีมากกว่า 4,000 ล้านบาท ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
“ หลังจากที่มีการเข้าไปตรวจสอบข้อมูล ได้รับการยืนยันว่า ขบวนการนี้ ได้หยุดไปแล้ว แต่ก็ได้ข่าวว่า จะมีการเปลี่ยนฐานไปที่อื่น เรากำลังตามข้อมูลอยู่”
-----
อ่านประกอบ :