- Home
- Investigative
- การทำผิดของเอกชน
- “สาธิต” ยันย้าย “ศุภกิจ” เข้ากรุง นั่งสรรพากรพื้นที่ “บางรัก” ตามประเพณีปฏิบัติ
“สาธิต” ยันย้าย “ศุภกิจ” เข้ากรุง นั่งสรรพากรพื้นที่ “บางรัก” ตามประเพณีปฏิบัติ
“สาธิต” ร่อนหนังสือแจงดีเอสไอ ยันย้าย “ศุภกิจ” เข้ากรุง นั่งสรรพากรพื้นที่ 27 บางรัก ก่อนเกิดคดีคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 4.2 พันล. เป็นไปตามประเพณีปฏิบัติ แจงยิบขั้นตอนคืนภาษีผู้ประกอบการ
แหล่งข่าวระดับสูงจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม2556 ที่ผ่านมา นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร ได้ทำหนังสือถึง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ ) เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีที่ถูกพาดพิงจากสื่อมวลชน ใน 2 ประเด็นเกี่ยวกับคดีคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม จำนวน 4.2 พันล้านบาท ให้กับผู้ประกอบการ คือ
1. กรณีการสั่งการให้ปรับปรุงแก้ไขระเบียบและแนวทางปฏิบัติเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการให้ได้รับคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเร็วขึ้น
และ 2. กรณีย้ายคนสนิทเข้ามาอยู่ในพื้นที่ 22 บางรัก ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ และการโยกย้ายดังกล่าวเป็นการลัดขั้นตอนประเพณีปฏิบัติในการเลื่อนลำดับ
แหล่งข่าวกล่าวว่า นายสาธิต ยืนยันว่า การสั่งย้ายนายศุภกิจ ริยะการ มาดำรงตำแหน่งเป็นสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 บางรัก ซึ่งถูกตรวจสอบพบว่า เป็นพื้นที่ที่มีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทจำนวนมาก ไม่ได้เป็นการลัดขั้นตอนประเพณีปฏิบัติแต่อย่างใด
“ อธิบดีกรมสรรพากร ยืนยันว่า นายศุภกิจ เคยดำรงตำแหน่งสรรพากรพื้นที่ในต่างจังหวัดหวัด มานานกว่า 7ปี และในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีสรรพากรพื้นที่เกษียณอายุราชการประมาณร้อยละ 70 การเปลี่ยนแปลงโยกย้ายจึงเป็นเรื่องปกติ ขณะที่สรรพากรในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร แบ่งออกเป็น 30 พื้นที่ย่อย แต่ละพื้นที่ไม่ได้มีเขตดูแลที่ใหญ่กว่าต่างจังหวัด และในทางปฏิบัติก็มีข้าราชการระดับเชี่ยวชาญ (9 ชช.) ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานครในปีแรกเลย โดยที่มิได้ผ่านการทำงานในพื้นที่ต่างจังหวัดมาก่อน ดังนั้น การโยกย้ายข้าราชการรายดังกล่าวจึงมิได้เป็นการลดขั้นตอนประเพณีปฏิบัติแต่อย่างใด"
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณีที่กล่าวว่า “ให้คืนได้ทันที เมื่อผลการตรวจไม่พบประเด็นความผิด โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 6 เดือน ซึ่งเป็นการขัดกับแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการตรวจคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม” นั้น อธิบดีกรมสรรพากร ระบุว่า การให้คืนภาษีได้ เมื่อผลการตรวจไม่พบประเด็นความผิด โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 6 เดือน นั้น มิได้ขัดกับแนวทางปฏิบัติแต่อย่างใด
ในแนวทางปฏิบัติฯข้อ 3(3) (3.3) ก กำหนดว่า ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่ขอคืนภาษีในเดือนภาษีแรก ให้ส่งทีมกำกับดูแลดำเนินการตรวจสอบเดือนภาษีแรก และให้ชะลอการคืนภาษีของเดือนภาษีอื่นๆ ในช่วง 6 เดือนภาษีแรกไว้ก่อน เพื่อใช้ผลการตรวจดังกล่าว ในการพิจารณาคืนภาษีในเดือนอื่นๆ ที่ได้ชะลอไว้ หมายความว่า หากเป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่ให้ชะลอการคืนภาษีในช่วง 6 เดือนแรกไว้เพื่อรอผลการตรวจการคืนภาษีในเดือนแรกก่อน หากผลการตรวจภาษีในเดือนแรกเสร็จเมื่อใด ก็ให้นำผลการตรวจของเดือนภาษีแรกไปใช้ในการพิจารณาคืนภาษีในเดือนอื่นๆ ด้วย ซึ่งหากผลการตรวจในเดือนภาษีแรกแล้วเสร็จก่อน 6 เดือนและไม่พบประเด็นความผิด เจ้าหน้าที่สามารถคืนภาษีได้ด้วย ไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 6 เดือนแต่อย่างใด
และจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ผู้เสนอแก้ไขแนวทางปฏิบัติฯ ได้รับการยืนยันว่า การแก้ไขดังกล่าวมิได้เป็นการลดความเข้มข้นในการตรวจคืน หรือมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งคืนภาษีโดยเอื้อประโยชน์ในทางมิชอบให้แก่ผู้เสียภาษีแต่อย่างใด
(อ่านประกอบ: เปิดหนังสือ “อธิบดีสรรพากร” แจง “ดีเอสไอ” 2 ปมร้อน คดีภาษี 4.2 พันล.)