- Home
- Investigative
- การทำผิดของเอกชน
- แง้มห้องประชุม กมธฯ ฟัง “สาธิต” ร่ายยาวเงื่อนปมคดีคืนภาษี -ก่อนเด้งเข้ากรุ
แง้มห้องประชุม กมธฯ ฟัง “สาธิต” ร่ายยาวเงื่อนปมคดีคืนภาษี -ก่อนเด้งเข้ากรุ
Exclusive : แง้มห้องประชุม กมธ.การเงินฯ วุฒิสภา ฟัง "สาธิต" ร่ายยาวเงื่อนปมคดีคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม "ทิ้งทวน" ก่อนถูกโยกนั่งเก้าอี้ผู้ตรวจกระทรวงฯ ยันพบการกระทำเพิ่มขึ้นเป็นขบวนการ-ซับซ้อน ระเบียบเปิดช่องเจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจตัดสินใจ
นอกเหนือจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงคดีกรมสรรพากรคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทเอกชนกลุ่มหนึ่ง โดยไม่ถูกต้อง อย่างเป็นทางการแล้ว
คณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา ที่มีรองศาสตราจารย์ วิชุดา รัตนเพียร ส.ว.สรรหา เป็นประธาน ก็ให้ความสำคัญเข้ามาตรวจสอบข้อมูลเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า ในการประชุมคณะกรรมาธิการการเงินฯ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา ได้มีการเชิญตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มบริษัทเอกชนดังกล่าว เข้ามาชี้แจงข้อมูล
ทั้งนี้ หนึ่งในบุคคลที่ถูกเชิญมาให้ข้อมูลครั้งนี้ คือ นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร
โดยนายสาธิต ได้กล่าวยืนยันกับคณะกรรมาธิการการเงินฯ วุฒิสภา ว่า “ปัญหากรณีการปลอมใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่กรมสรรพากรได้ตรวจสอบพบ ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีการซื้อขายแล้วไม่มีใบเสร็จรับเงิน และบริษัทเหล่านี้จะเกิดปัญหาในการชำระภาษีเงินได้ จึงก่อให้เกิดการหาหลักฐานในการชำระภาษีเงินได้ เมื่อบริษัทต่างๆ ได้ดำเนินการดังกล่าวและกรมสรรพากรไม่สามารถตรวจพบ จึงได้มีการกระทำการเพิ่มขึ้นจนเป็นขบวนการและมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น มีการกล่าวอ้างว่ากรณีนี้เป็นการส่งออกสินค้า"
"ทั้งนี้ กรมสรรพากรจะตรวจสอบการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มในขั้นตอนของผู้ส่งออกว่ามีภาษีซื้อเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เมื่อตรวจสอบย้อนกลับพบว่าไม่มีใบกำกับภาษี ซึ่งการปลอมใบกำกับภาษีจะเริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการแรกๆ ฉะนั้น หากกรมสรรพากรตรวจสอบเฉพาะขั้นตอนสุดท้ายจะไม่พบการปลอมใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มทางเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรจะตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง หากเอกสารที่เกี่ยวข้องครบถ้วนจะมีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ขอคืนภาษี"
นายสาธิต ยังระบุด้วยว่า แม้เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรจะปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบที่กำหนดอาจจะมีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษีปลอม เนื่องจากจะต้องการตรวจสอบในหลายๆ ขั้นตอนจึงจะพบว่าเป็นการปลอมใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งหากมีการตรวจสอบอย่างละเอียดในทุกขั้นตอนจะทำให้การเรียกคืนภาษีมูลค่าเพิ่มล่าช้า
นายสาธิต ยังกล่าวยืนยันว่า กรมสรรพากรมีความประสงค์จะของบประมาณเพื่อจัดทำการสอบยันความถูกต้อง (CROSS-CHECK)กับใบภาษีกำกับตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ซึ่งระบบการ CROSS-CHECK จะทำให้มีการขยายฐานภาษี และสามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น จำนวน 300,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ การซื้อขายที่ไม่มีใบกำกับภาษีควรจะมีระบบเครื่องบันทึกเงินสุด (Cash Register) กล่าวคือ หากมีการซื้อขายสินค้าด้วยเงินสดจะมีบัตรสรรพากรเพื่อสะสมแต้มเพื่อนำมาลดหย่อนภาษีทั้งสองระบบจะเป็นการอุดช่องโหว่ในการคืนภาษีที่มีใบกำกับภาษีและไม่มีใบกำกับภาษี
นายสาธิต ระบุว่า หากกรมสรรพากรมีระบบทั้งสองแบบ จะต้องใช้งบประมาณมูลค่าจำนวน 900 ล้านบาท และต้องใช้บุคลากรจำนวน 2,000 คน แต่สามารถจัดเก็บภาษีได้ประมาณ 530,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้มีการดำเนินการเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ในการนำเรื่องใดมาตรวจสอบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากการคัดเลือกรายที่จะตรวจสอบการเสียภาษีได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว
นายสาธิต ยังระบุด้วยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากกฎระเบียบของกรมสรรพากรที่ไม่ค่อยมีความทันสมัยเท่าที่ควร รวมทั้งกรมสรรพากรและกรมศุลกากรไม่ได้มีการหารือร่วมกันและไม่มีเชื่อมโยงข้อมูลต่อกัน ซึ่งการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับกรณีการปลอมใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มมีหลักฐานการส่งออกสินค้าจากกรมศุลกากรทุกราย ซึ่งมูลค่าการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มประมาณ 4,000 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการส่งออกประมาณ 60,000 ล้านบาท
แต่ไม่มีข้อมูลว่าไม่มีการส่งออกสินค้านั้นจริงแม้แต่รายเดียว!!
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรมีความเชื่อในระดับหนึ่งว่า เป็นใบกำกับภาษีจริง และเมื่อเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรตรวจสอบเพียงขั้นตอนแรกอย่างเดียวพบว่าเป็นใบกำกับภาษีจริง แต่เมื่อตรวจสอบในทุกขั้นตอนกลับพบว่าเป็นใบกำกับภาษีปลอม
ในการนี้ ทั้งกรมสรรพากรและกรมศุลกากรควรจะมีการหารือร่วมกันเกี่ยวกับระเบียบและวิธีการตรวจสอบ
ทั้งนี้ ในการเข้าชี้แจงข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการการเงินฯ วุฒิสภา นั้น นายสาธิต ได้ตอบคำถามต่อคณะกรรมาธิการฯ ในหลายประเด็น ได้แก่
-ระยะเวลากระบวนการในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มกรณีที่มีการส่งออกเป็นอย่างไร
นายสาธิต ตอบว่า หากผู้ประกอบการมีการยื่นขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มทางเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรจะตรวจสอบทันที ซึ่งปกติผู้ประกอบการจะส่งออกในทุกเดือน จะมีการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือน แต่ระเบียบกำหนดให้ต้องให้ความสำคัญในการตรวจสอบของเดือนแรก ซึ่งจะใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบประมาณ 4-5 เดือน
ในกรณีคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้เคยมีหนังสือแสดงความคิดว่า ในการกำหนดให้มีการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้รวดเร็วจะมีปัญหา และการคืนภาษีล่าช้าก็จะมีปัญหาเช่นเดียวกัน จึงจะต้องหาวิธีในการคืนภาษีให้มีความเหมาะสม โดยจะต้องมีระเบียบให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้ดุลยพินิจในการคืนภาษีได้
หากเจ้าหน้าที่คนใดคืนภาษีล่าช้าโดยไม่มีเหตุผลที่สามารถชี้แจงจะต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
-มูลค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปลอมใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มมีจำนวนเท่าใด เนื่องจากข้อมูลที่ปรากฏตามสื่อมวลชนมีการประเมินมูลค่าความเสียหายระหว่างกรมสรรพากรและกระทรวงการคลังแตกต่างกัน
นายสาธิต ตอบว่า มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทางกระทรวงการคลังจะประเมินว่า มีผู้ข้อคืนภาษีจำนวนเท่าใดจะมีความเสียหายเกิดขึ้นจำนวนเท่านั้น ส่วนกรมสรรพากรจะพิจารณาจากการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวนเท่าใด และพิจารณาในส่วนของการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่กรมสรรพากร ได้มีการระงับและมีข้อสงสัยซึ่งไม่มีการคืนภาษีด้วย ตลอดจนกรณีที่มีการ CROSS-CHECK และพบว่ามีการส่งออกสินค้าจริง ซึ่งมีจำนวน 1,500 ล้านบาท จึงต้องหักมูลค่าดังกล่าวออกจากการคำนวณมูลค่าความเสียหาย
-ตามที่กรมสรรพากรได้เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับการจัดตั้ง TAX AGENCY จึงเห็นว่าทางกรมสรรพากรควรมีการจัดตั้งสำนักงานบัญชีตัวแทน โดยในเบื้องต้นควรเป็นการนำร่องในบางพื้นที่ เพื่อจะได้มีการประเมินว่าการจัดตั้งสำนักงานบัญชีตัวแทน มีประสิทธิภาพหรือไม่
นายสาธิต ให้ข้อมูลว่า ในกรณีสำนักงานบัญชีตัวแทน( TAX AGENCY) ประชาชนทั่วไปไม่ต้องมาติดต่อที่กรมสรรพากร แต่จะไปติดต่อที่สำนักงานบัญชีตัวแทน (TAX AGENCY) ซึ่งจะมีหน้าที่ในการดูแลแบบภาษีที่ประชาชนยื่นและจะมีการคืนภาษีจำนวนหนึ่งให้กับประชาชนไปพลางก่อน และส่วนที่เหลือให้ขอคืนภาษีจากกรมสรรพากร ซึ่งกรมสรรพากรได้มีการนำไปปฏิบัติในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร และทางกรมสรรพากรอยู่ระหว่างการศึกษา
นอกจากนี้ ยังมีระบบผู้สอบบัญชีภาษีอากร (TAX AUDITOR) กล่าวคือ เมื่อผู้ยื่นแบบภาษีมีการลงนามจากผู้สอบบัญชีภาษีอากร (TAX AUDITOR) แล้วทางกรมสรรพากรจะมีการตรวจสอบน้อยลง ที่ผ่านมากรมสรรพากรพยายามผลักดันระบบดังกล่าวมาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเข้าชี้แจงข้อมูลคดีภาษีมูลค่าเพิ่มของนายสาธิต ต่อคณะกรรมาธิการการเงินฯ วุฒิสภาดังกล่าว เกิดขึ้นวันเดียวกับที่ คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติ นายสุทธิชัย สังขมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร แทนนายสาธิต รังคสิริ ที่ถูกย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง
โดยให้มีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคม นี้เป็นต้นไป