- Home
- Investigative
- การทำผิดของเอกชน
- เปิดเอกสาร สตง.ทวงเงิน 32.9 ล้านบิ๊ก ก.พัฒนาสังคมฯกับพวกยก 22 คณะทัวร์นอก
เปิดเอกสาร สตง.ทวงเงิน 32.9 ล้านบิ๊ก ก.พัฒนาสังคมฯกับพวกยก 22 คณะทัวร์นอก
เปิดเอกสาร 3 ฉบับ สตง.ทวง 32.9 ล้านบิ๊ก ก.พัฒนาสังคมฯกับพวกยก 22 คณะทัวร์นอกใช้เงินนอกงบประมาณผิดวัตถุประสงค์หลักเงินบริจาค เงินบำรุงกิจการนิคม เงินสะสมค่าอาหารของกรมประชาสงเคราะห์
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เรียกเงินคืนจำนวน 32,906,146.50 บาท และให้ดำเนินการทางวินัยกับปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการกับพวกที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเบิกเงินกรณีเดินทางไปดูงานต่างประเทศจากเงินนอกงบประมาณ ผิดวัตถุประสงค์หลักของเงินบริจาค เงินบำรุงกิจการนิคมและเงินสะสมค่าอาหาร
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org )นำหนังสือของ สตง.มาเสนอดังนี้
เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2553 สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน โดยคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ทำหนังสือที่ ตผ0027/1486 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีข้อความว่า
“สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ 2550 ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พบว่า กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการได้เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายไปดูงานต่างประเทศจากเงินนอกงบประมาณ ประเภทเงินบริจาคทั่วไปเงินบำรุงกิจการนิคม และเงินสะสมอาหาร จำนวน 22 คณะ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 32,906,146.50 บาท ซึ่งได้รับอนุมัติจากอธิบดีโดยการดำเนินงานโครงการดังกล่าวไม่มีการอบรมด้านวิชาการ ไม่มีแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ไม่มีหนังสือขออนุมัติสำนักงบประมาณ และไม่มีหนังสือเชิญหรือตอบรับจากหน่วยงานต่างประเทศที่ได้ดูงาน (รายละเอียดแนบ)
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน พิจารณาแล้วเห็นว่า การเดินทางไปดูงานในต่างประเทศของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้เบิกจ่ายจากเงินนอกงบประมาณประเภทเงินบริจาคทั่วไป เงินบำรุงกิจการนิคมและเงินสะสมค่าอาหาร ซึ่งตามคำสั่งที่ 96/2504 ลงวันที่ 6 มีนาคม 2504 เรื่องระเบียบการจ่าย การเก็บ และการรักษาเงินบางประเภทที่กรมประชาสงเคราะห์ได้รับ ไม่ได้กำหนดเรื่องการไปดูงานในต่างประเทศไว้ และหลักเกณฑ์การจ่ายเงินหมวด 3 ในข้อ 6 กำหนดว่า “เงินสะสมค่าอาหารของผู้รับการสงเคราะห์จะจ่ายได้เฉพาะในกรณีดังต่อไปนี้ (2) ปรับปรุงกิจการของหน่วยงานให้เจริญก้าวหน้าในเมื่องบประมาณไม่พอจ่าย ทั้งนี้ต้องเป็นกรณีเกี่ยวกับประโยชน์สุขส่วนรวมหรือเป็นการดำเนินการของหน่วยงานนั้น หรือรายจ่ายอื่นใดที่จำเป็นซึ่งอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์พิจารณาเห็นสมควร” และข้อ 7 กำหนดว่า “เงินบริจาคและเงินบำรุงจะจ่ายได้เฉพาะกรณีต่อไปนี้ (2) ใช้จ่ายในกิจการของกรมในด้านการประชาสงเคราะห์หรือจ่ายพิเศษอื่นๆ ซึ่งอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์พิจารณาเห็นสมควร” เมื่อพิจารณาขอบเขตวัตถุประสงค์ของคำสั่งในข้อ 6 และข้อ 7 แล้วเห็นว่า วัตถุประสงค์หลักของเงินบริจาคทั่วไป เงินบำรุงกิจการนิคม และเงินสะสมค่าอาหาร เพื่อใช้จ่ายในกิจการของกรมในด้านประชาสงเคราะห์ ถึงแม้คำสั่งให้อธิบดีใช้ดุลยพินิจในการอนุมัติให้จ่ายได้ในกรณีที่เห็นสมควร แต่ก็ควรต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการประชาสงเคราะห์
ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 301 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 302 (3) พิจารณาแล้วเห็นชอบกับผลการดำเนินการดำเนินการของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ให้ดำเนินการ ดังนี้
1.เรียกเงินคืน จำนวน 32,906,146.50 บาท เพื่อส่งคืนคลังประเภทเงินนอกงบประมาณ
2.ดำเนินการทางวินัยกับปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (เนื่องจากได้ร่วมเดินทางด้วย) อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกรณีดังกล่าว
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการ และให้แจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวไปให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทราบภายใน 60 วัน ตามนัยมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542”
ต่อมาวันที่ 25 สิงหาคม 2554 สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน โดยนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน รักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ทำหนังสือที่ ตผ.0029/4251 ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยืนยันความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และให้แจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวไปให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทราบภายใน 60 วัน
วันที่ 14 มีนาคม 2555 สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน โดยนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ทำหนังสือด่วน ที่ ตผ. 0029/78 ถึงปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ความว่า
“สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ขอเรียนว่าตามทางพิจารณาในเบื้องต้นนี้เรื่องการใช้จ่ายเงินกรณีดังกล่าว เป็นปัญหาข้อโต้แย้งทางกฎหมายในเรื่องการใช้ดุลยพินิจของอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ตามคำสั่งกรมประชาสงเคราะห์ ที่ 96 /2504 ลงวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2504 เรื่อง ระเบียบการจ่ายการเก็บและรักษาเงินบางประเภท ที่กรมประชาสงเคราะห์ได้รับ เนื่องจากการปฏิบัติงานประชาสงเคราะห์ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ส่วนกรณีแจ้งให้ดำเนินการทางวินัยกับปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เนื่องจากได้ร่วมเดินทางไปด้วย เป็นการให้ดำเนินการกับปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในขณะนั้น สำหรับผลการพิจารณาเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบโดยเร็วต่อไป”
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2555 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ ตามข้อเสนอ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ย้ายนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวง พม. เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
การเบิกค่าใช้จ่ายเดินทางไปต่างประเทศ จากเงินนอกงบประมาณ