- Home
- Investigative
- จัดซื้อจัดจ้าง
- มติ ป.ป.ช. 6:2 ฟัน “หมอเลี้ยบ-ปลัด ก.ไอซีที-พวก” แก้สัญญาดาวเทียมเอื้อชินคอร์ป
มติ ป.ป.ช. 6:2 ฟัน “หมอเลี้ยบ-ปลัด ก.ไอซีที-พวก” แก้สัญญาดาวเทียมเอื้อชินคอร์ป
มติ ป.ป.ช. 6 ต่อ 2 เสียงฟัน “หมอเลี้ยบ-อดีตปลัดก.ไอซีที-ผอ.สำนักกิจการอวกาศฯ” ทุจริตแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารฯเอื้อชินคอร์ป ส่งศาลฎีกานักการเมืองเชือดอาญา-วินัยร้ายแรง
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2556 ระบุว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาเรื่องกล่าวหา นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กับพวก อนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ต้องถือ ในบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยมิชอบ
ที่ประชุมได้มี มติ 6 ต่อ 2 เสียง (นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. อีกคนหนึ่ง ขอถอนตัวไม่ร่วมพิจารณาเนื่องจากได้เคยพิจารณาเรื่องนี้ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แล้ว) ว่า การกระทำของนายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 และนายไกรสร พรสุธี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดไอซีที ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ที่ได้เสนอความเห็นให้มีการอนุมัติแก้ไขสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) ให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยทราบดีอยู่แล้วว่า เหตุที่บริษัทขอลดสัดส่วนการถือหุ้น เพื่อต้องการหาพันธมิตรขยายศักยภาพในการแข่งขันให้มีความเข้มแข็งและมีเงินทุนเพียงพอในการดำเนินการโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์
และการกระทำของ นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.ไอซีที ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ที่ได้อนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานฯ ดังกล่าว จึงมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
โดยในส่วนของนายไกรสร พรสุธี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และนายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ยังมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 อีกด้วย
ที่ประชุมจึงมีมติให้ส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัยกับผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตร 92 และไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องผู้ถูกกล่าวหา ที่ 1, ที่ 2 และที่ 3 ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 70 ประกอบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 10
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้พยายามโทรศัพท์ติดต่อขอสัมภาษณ์ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีต รมว.ไอซีที แต่ยังไม่สามารถติดต่อได้
สำหรับ นายไกรสร พรสุธี อดีตปลัดไอซีที ปัจจุบันมีตำแหน่งรองเลขาธิการองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก : Asia-Pacific Telecommunity (APT) เคยเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ประธานบอร์ด กสท. กรรมการบอร์ดทีโอที และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในช่วงที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี
นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 เม.ย.2556 ว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เสนอ
โดยเห็นชอบให้นายไกรสร พรสุธี รองเลขาธิการองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก : Asia-Pacific Telecommunity (APT) สมัครเข้ารับเลือกตั้งในตำแหน่งเลขาธิการ APT ในนามผู้สมัครจากประเทศไทย พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ พิจารณาดำเนินการขอเสียงและแลกเสียงในการสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งดังกล่าว
-------------
@@ มติ ป.ป.ช. ฉบับเต็ม
ด้วยเมื่อวันอังคารที่ 16 กรกฎาคม 2556 ได้มีการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ซึ่งมีเรื่องสำคัญที่สมควรแถลงให้สื่อมวลชนทราบ คือ เรื่องกล่าวหา นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กับพวก อนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ต้องถือในบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยมิชอบ กล่าวคือ
คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2551 กล่าวหา นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 นายไกรสร พรสุธี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 นายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ว่า อนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ต้องถือในบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยมิชอบ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนขึ้นดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยมีศาสตราจารย์ ภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน ปรากฏข้อเท็จจริงดังนี้
ตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ลงวันที่ 11 ก.ย.2534 ระหว่างกระทรวงคมนาคม และบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน ข้อ 4 กำหนดให้บริษัทจะต้องจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่เพื่อดำเนินงานตามสัญญาสัมปทาน โดยมีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท และบริษัทจะต้องเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 และต้องดำเนินการให้บริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่รับผิดชอบตามสัญญาสัมปทานต่อกระทรวงร่วมกันและแทนกันกับบริษัท ซึ่งต่อมาได้มีการจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ ตามสัญญาสัมปทานฯ ดังกล่าว คือ บริษัท ชินวัตรแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน
ต่อมา เมื่อเดือน ธ.ค.2546 บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน ได้มีหนังสือลงวันที่ 24 ธ.ค.2546 ถึงกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ขออนุมัติลดสัดส่วนการถือหุ้นของ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ต้องถือในบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) จากเดิมไม่น้อยกว่า 51% เป็นไม่น้อยกว่า 40% โดยให้เหตุผลว่าธุรกิจให้บริการช่องสัญญาณดาวเทียมเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก โดยเฉพาะโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาพันธมิตรเพื่อขยายศักยภาพในการแข่งขันให้มีความเข้มแข็ง และมีเงินทุนเพียงพอที่จะดำเนินกิจการให้บรรลุไปได้ด้วยดี ซึ่งการหาพันธมิตรหรือแหล่งเงินทุนดังกล่าว จะมีผลทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปฯ ลดลงจาก 51% เนื่องจากต้องให้พันธมิตรหรือเจ้าของแหล่งเงินทุนเข้ามามีส่วนในการถือหุ้น
สำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ ได้มีบันทึกลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2547 ถึงปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เสนอข้อพิจารณาและความเห็นว่า การลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ต้องถือในบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ดังกล่าว บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่นฯ จะยังคงรับผิดชอบการดำเนินการตามสัญญาต่อไป ยังคงรักษาสัดส่วนการถือหุ้นของบุคคลสัญชาติไทย โดยไม่ขัดกับกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เห็นสมควรแก้ไขสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมฯ เพื่อมิให้การดำเนินการผิดข้อกำหนดของสัญญา ข้อ 4
อย่างไรก็ตาม เพื่อความรอบคอบในการดำเนินการเห็นสมควรหารือสำนักงานอัยการสูงสุด และหากเห็นว่าสามารถดำเนินการได้ขอให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาตรวจร่างสัญญาแก้ไขก่อน
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้มีหนังสือลงวันที่ 25 ก.พ.2547 ลงนามโดยรองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (นายไกรสร พรสุธี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2) หารือไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาข้อหารือ แล้วมีหนังสือลงวันที่ 3 มิ.ย.2547 ตอบข้อหารือว่า การขอแก้ไขสัญญาโดยลดสัดส่วนการถือหุ้นดังกล่าว ไม่มีกรณีที่รัฐต้องเสียประโยชน์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สามารถที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาอนุมัติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาได้และสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาร่างสัญญาดังกล่าวด้วยแล้ว
อย่างไรก็ตาม สำนักงานอัยการสูงสุดได้ให้ข้อสังเกตว่า โครงการนี้ เดิมได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ว่าเป็นโครงการของประเทศ (National Project) คุณสมบัติและความเชื่อถือในฐานะและความสามารถของบริษัทผู้รับสัมปทาน จึงเป็นเงื่อนไขสาระสำคัญอย่างยิ่งของสัญญาสัมปทานนี้ จึงได้กำหนดในสัญญา ข้อ 4.2 ว่า บริษัทจะต้องเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่จัดตั้งใหม่ ไม่น้อยกว่า 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ดังนั้น กรณีเมื่อจะพิจารณาแก้ไขเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสัญญาข้อนี้ ซึ่งเป็นสาระสำคัญของสัญญาและเป็นส่วนหนึ่งแห่งที่มาของการอนุมัติโดยคณะรัฐมนตรี จึงควรที่จะนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนลงนามสัญญา
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จึงได้มีหนังสือลงวันที่ 17 มิ.ย.2547 ลงนามโดย รมว.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1) ถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาการลดสัดส่วนการถือหุ้นตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของสัญญาฯ ข้อ 4.2 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
โดยนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ส่งเรื่องดังกล่าวคืนกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตามหนังสือลงวันที่ 20 ส.ค.2547 โดยให้เหตุผลว่า เรื่องดังกล่าวไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ประกอบกับคณะรัฐมนตรีมีนโยบายที่จะลดเรื่องที่จะเสนอคณะรัฐมนตรี
สำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ จึงได้มีบันทึกลงวันที่ 2 กันยายน 2547 ลงนามโดยผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ (นายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3) ถึงปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์) เสนอข้อพิจารณาว่า ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้แจ้งผลการพิจารณาข้อหารือว่า การลดสัดส่วนการถือหุ้นดังกล่าว ไม่มีกรณีที่รัฐต้องเสียประโยชน์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสามารถที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาอนุมัติแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาได้ กอปรกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เรื่องดังกล่าวไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา จึงเห็นควรเสนอ รมว.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พิจารณาอนุมัติแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาฯ
รมว.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1) ได้สั่งการท้ายหนังสือดังกล่าวข้างต้น เมื่อวันที่ 21 ก.ย.2547 ว่า ให้หารือไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดอีกครั้ง
กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จึงได้มีหนังสือลงวันที่ 24 ก.ย.2547 หารือไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดได้แจ้งตอบข้อหารือ ตามหนังสือลงวันที่ 13 ต.ค.2547 ว่า เมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีความเห็นว่า เรื่องนี้ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาดังข้อเสนอแนะของสำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจึงมีดุลพินิจที่จะแก้ไขสัญญาตามร่างที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจแก้ไว้ได้
สำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ โดยผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ (นายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3) จึงได้มีบันทึกลงวันที่ 14 ต.ค.2547 ถึงปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (นายไกรสร พรสุธี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2) นำเสนอ รมว.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พิจารณาอนุมัติแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาฯ
ซึ่งในครั้งนี้ นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้พิจารณาลงนามอนุมัติท้ายหนังสือดังกล่าวข้างต้น เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2547 ให้แก้ไขสัญญาสัมปทานฯ ตามที่เสนอ และได้มีการลงนามแก้ไขสัญญาสัมปทานฯ ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 27 ต.ค.2547 ในเรื่องการอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) เมื่อวันที่ 27 ต.ค.2547 เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ต้องถือในบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่า 51% เป็นไม่น้อยกว่า 40% นี้
ปรากฏต่อมาว่า เป็นหนึ่งในหลายประเด็นข้อกล่าวหาในคดีที่อัยการสูงสุดได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นของแผ่นดิน (คดีร่ำรวยผิดปกติ) โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษา ตามคดีหมายเลขดำที่ อม.14/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2553 ว่า การที่มีการกำหนดเรื่องการถือครองหุ้นสัดส่วนไม่น้อยกว่า 51% ไว้ในข้อ 4 ของสัญญาสัมปทานนั้น เป็นนัยสำคัญประการหนึ่งที่คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้บริษัท ชินคอร์ปฯ ได้รับสัมปทาน การอนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานลดสัดส่วนข้างต้นโดยไม่ได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ
จึงเป็นการอนุมัติโดยมิชอบ และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชินคอร์ปฯ ผู้รับสัมปทาน เนื่องจากในกรณีที่บริษัท ไทยคมฯ ทำการเพิ่มทุนเพื่อดำเนินโครงการใดๆ โดยเฉพาะโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ บริษัท ชินคอร์ปฯ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ไทยคมฯ จึงไม่ต้องระดมทุนหรือกู้ยืมเงินมาซื้อหุ้นเพื่อรักษาสัดส่วน 51% ของตนเอง แต่กลับกระจายความเสี่ยงไปให้นักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
และการลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลงประมาณ 11% ดังกล่าวย่อมเป็นผลให้บริษัท ชินคอร์ปฯ ได้รับเงินทุนคืนจากการโอนขายหุ้นจำนวนดังกล่าวออกไปด้วย
ทั้งการลดสัดส่วนดังกล่าวมีผลเป็นการลดทอนความมั่นคงและความมั่นใจในการดำเนินโครงการดาวเทียมของบริษัท ชินคอร์ปฯ ในฐานะผู้ได้รับสัมปทานโดยตรง ที่ต้องมีอำนาจควบคุมบริหารจัดการอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ และต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่น้อยกว่า 51% ในบริษัท ไทยคมฯ ซึ่งเป็นผู้บริหารโครงการดาวเทียมตามสัญญาสัมปทาน แม้ว่าบริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท ไทยคมฯ จะยังต้องร่วมกันรับผิดตามสัญญาสัมปทานอยู่
แต่การลดสัดส่วนการถือครองหุ้นดังกล่าว ก็ย่อมที่จะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความมั่นคงในการกำกับดูแลการประกอบกิจการโทรคมนาคมของรัฐ องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติด้วยเสียงข้างมากว่า การอนุมัติให้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปฯ ในบริษัท ไทยคมฯ จึงเป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท ไทยคมฯ ผู้รับสัมปทานจากรัฐโดยไม่สมควร
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้ว จึงมีมติด้วยคะแนนเสียง 6 ต่อ 2 เสียง (นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. อีกคนหนึ่ง ขอถอนตัวไม่ร่วมพิจารณา เนื่องจากได้เคยพิจารณาเรื่องนี้ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แล้ว) ว่า
การกระทำของ นายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 และ นายไกรสร พรสุธี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ที่ได้เสนอความเห็นให้มีการอนุมัติแก้ไขสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) ให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
โดยทราบดีอยู่แล้วว่า เหตุที่บริษัทขอลดสัดส่วนการถือหุ้น เพื่อต้องการหาพันธมิตรขยายศักยภาพในการแข่งขันให้มีความเข้มแข็งและมีเงินทุนเพียงพอในการดำเนินการโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์
และการกระทำของ นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ที่ได้อนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานฯ ดังกล่าว จึงมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
โดยในส่วนของ นายไกรสร พรสุธี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และนายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ยังมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 อีกด้วย
ที่ประชุมจึงมีมติให้ส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัยกับผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 92 และไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องผู้ถูกกล่าวหาที่ 1, ที่ 2 และที่ 3 ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 70 ประกอบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 10
จึงขอแถลงมาให้ทราบทั่วกัน.