- Home
- Investigative
- จัดซื้อจัดจ้าง
- ย้าย จนท.บ่อย! เบื้องหลัง ป.ป.ช.ทำคดีรถดับเพลิงล็อตใหม่ฟ้องได้แค่ 1 ข้อหา
ย้าย จนท.บ่อย! เบื้องหลัง ป.ป.ช.ทำคดีรถดับเพลิงล็อตใหม่ฟ้องได้แค่ 1 ข้อหา
เบื้องหลังคดีรถดับเพลิงล็อตใหม่ หลัง ป.ป.ช. ฟันเพิ่มกรรมการจัดซื้อวิธีพิเศษ 4 ราย เหตุมีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายการทำงานของ จนท. บ่อย ส่งผลให้การทำคดีอาญาปมฮั้วขาดอายุความ 1 ข้อหา ฟ้องได้แค่ ม.12 พ.ร.บ.ฮั้ว
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2560 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่ของรัฐเพิ่มเติมอีก 4 ราย ได้แก่ นายสุวิทย์ ศิลาทอง น.ส.สุทิพย์ ทิพย์สุวรรณ์ พ.ต.อ.พิชัย เกรียงวัฒนศิริ และ พ.ต.ท.รักศิลป์ รัตวราหะ ในฐานะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ กรณีกล่าวหานายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กับพวก ซึ่งสืบเนื่องจากคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เคยมีมติชี้มูลความผิดนักการเมือง และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง กรณีการจัดซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิงพร้อมอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย กทม. โดยซื้อในราคาสูงกว่าความเป็นจริง และมีพฤติการณ์เอื้อประโยชน์แก่ผู้เสนอราคารายหนึ่งรายใด ได้ให้เข้าทำสัญญา และทำการตรวจรับ รวมทั้งเบิกจ่ายเงินให้กับผู้ขายโดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
โดยทั้ง 4 รายดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง และฐานกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 มาตรา 82 วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 98 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528 มาตรา 8
รวมถึงมีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ หรือเจ้าของทรัพย์นั้น และฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเวนการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 และฐานใช้อุบายหลอกลวง หรือกระทำการโดยวิธีอื่นใด เป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มีโอกาสเข้าทำการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม หรือให้มีการเสนอราคาโดยหลงผิด และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) มาตรา 7 และมาตรา 12
อย่างไรก็ดีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า ความผิดตามมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.ฮั้ว ได้ขาดอายุความแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) จึงให้ยุติการดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 รายดังกล่าว ในความผิดฐานนี้ ส่วน พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว จึงไม่ยกขึ้นมาพิจารณา และไม่รับเรื่องกล่าวหา
จึงส่งรายงาน และเอกสาร พร้อมความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาโทษทางวินัย และไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 ราย และส่งเรื่องมายังผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยแก่ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 ราย ด้วย (ดูเอกสารประกอบ)
เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2560 แหล่งข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงกรณีนี้ว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาไต่สวนคดีดังกล่าวไม่ทันภายในอายุความ เนื่องจากมีช่วงเวลาหนึ่ง เกิดการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายการทำงานของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. บ่อย ทำให้การทำคดีไม่เกิดความต่อเนื่อง ส่งผลให้คดีดังกล่าวขาดอายุความไปก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ร.บ.ฮั้ว มาตรา 7 ของ บัญญัติว่า ผู้ใดใช้อุบายหลอกหลวงหรือกระทำการโดยวิธีอื่นใด เป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มีโอกาสเข้าทำการเสนอราคาอย่างเป็นธรรมหรือให้มีการเสนอราคาโดยหลงผิด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับร้อยละ 50 ของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดนั้น หรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า
มาตรา 12 บัญญัติว่า เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใดกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ หรือกระทำการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ มีความผิดฐานกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 1-4 แสนบาท
อ่านประกอบ :
หนีทั้งคู่!! ศาลฎีกาฯ จำคุก "ประชา" 12 ปี "อธิลักษณ์" 10 ปี คดีรถดับเพลิง 6 พันล้าน