ขยะใต้พรม “ธุรกิจหนังสือ" เมืองไทย
แม้น้อยคนจะรู้ว่า “กรุงเทพมหานคร” เมืองหลวงไทย ได้รับเลือกจาก UNESCO ให้เป็นเมืองหนังสือโลก ในปี พ.ศ.2556
แต่เชื่อว่า น้อยคนยิ่งกว่า จะรู้ว่า “ธุรกิจหนังสือ” ของบ้านเรา มีโครงสร้างอย่างไร
โชคดีที่เกิดเหตุการณ์ ซึ่งสำนักพิมพ์ขนาดเล็ก เรียกว่า “โมเม-ลักไก่” ของ 2 ค่ายหนังสือยักษ์ใหญ่ ที่มีบทบาทควบวงจรเป็นทั้ง “ผู้ผลิต-สายส่ง-ผู้จำหน่าย” อย่างร้านซีเอ็ดและร้านนายอินทร์ ขอคิดค่ากระจ่ายสินค้า (Distribution Center-DC) จากราคาหน้าปก 1% โดยอ้างว่าประสบปัญหาต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นจากนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาล
1% อาจไม่มากในความรู้สึกของคนทั่วๆ ไป แต่ด้วยธุรกิจขายหนังสือของเมืองไทยที่บิดเบี้ยว และมีการเก็บค่าส่วนแบ่งกำไรการค้า (Gross Profit-GP) อยู่แล้วกว่า 35-40%
ค่า DC จึงเป็นต้นทุน ที่เจ้าของสำนักพิมพ์ขนาดเล็ก เห็นตรงกันว่า “ไม่ควรจ่าย” เพราะต้องจ่ายทุกเล่ม ไม่ว่าจะขายได้หรือขายไม่ได้ ต่างกับค่า GP ที่จะหักไปจากรายได้จากหนังสือที่ขายได้เท่านั้น
ในการประชุม คณะอนุกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการสื่อสารมวลชน สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันอังคารที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา แม้ว่า 2 ค่ายยักษ์อย่าง “ซีเอ็ด-นายอินทร์” จะไม่ได้ส่งตัวแทนมา แต่ผู้ที่มาร่วมชี้แจงต่ออนุกรรมาธิการฯ รายอื่นๆ ต่างก็เป็นผู้คร่ำหวอดในวงการสิ่งพิมพ์ และนำข้อมูลโครงสร้างธุรกิจหนังสือไทย มากางให้เห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง
อย่าง “นายธงชัย ลิขิตพรสวรรค์” อุปนายกฝ่ายในประเทศ สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ที่เปิดตัวเลขจำนวนร้านหนังสือในไทย ว่า ปัจจุบัน มีอยู่กว่า 900 ร้าน เป็นร้านซีเอ็ดกว่า 400 ร้าน เป็นร้านนายอินทร์กว่า 200 ร้าน ที่เหลือเป็นร้าน Stand Alone หรือร้านหนังสือท้องถิ่น ที่ไม่มีสาขา อีกว่า 300 ร้าน
“จึงถือว่าบริษัททั้ง 2 มีอำนาจเหนือตลาดอย่างแน่นอน โดยมีมูลค่าทางการตลาดราว 40% ของธุรกิจหนังสือทั้งหมด”
ขณะที่ “นายวชิระ บัวสนธ์” บรรณาธิการสำนักพิมพ์สามัญชน ก็เปิดเผยข้อมูลธุรกิจหนังสือบ้านเรา ว่ามีมูลค่าเฉลี่ย 6.3 หมื่นล้านบาท จากหนังสืออกใหม่ปีละกว่า 1.4 หมื่นปก มียอดขายเฉลี่ยปกละ 3 พันเล่ม ราคาเล่มล่ะราว 150 บาท
“1% ที่ 2 เจ้าใหญ่ขอหัก จึงคิดเป็นเงิน 630 ล้านบาท แม้อาจไม่ได้ทั้งหมด แต่ไม่แปลกที่ ทำให้ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ไม่เรียกเงินดังกล่าวว่า เงินกินเปล่า แต่เรียกกว่า เงินกินดิบ”
ด้าน “นายมกุฎ อรฤดี” บรรณาธิการสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ก็แฉกลยุทธ์การตลาดของสำนักพิมพ์รายใหญ่ ว่ามักจะคิดราคาแพงกว่าต้นทุนราว 15-20% เวลาขายได้จะใช้กลยุทธ์ด้านราคา ลดราคา 5-10% เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคมาซื้อได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเสียงถามว่าแล้วเราจะหันไปให้ผู้ประกอบการอื่นช่วยจัดส่งหนังสือแทน “2 เจ้าใหญ่” นี้ ได้หรือไม่?
“บ.ก.มกุฎ” ก็พูดอย่างยอมรับความจริงแล้วว่า คงจะเป็นเรื่องยาก เพราะทั้งซีเอ็ด-นายอินทร์ ถูกทำให้เป็นแขนขาสำหรับการส่งหนังสือไปแล้ว
ในวงประชุมอนุกรรมาธิการฯ อันเข้มข้นไปด้วยสารพัดข้อมูล ยังมีการยกข้อกฎหมายบางอย่าง ที่อาจนำมาใช้ต้านทานการรุกคืบของ “เชนสโตร์” ยักษ์ใหญ่ ไม่ให้ไล่บี้ “บุ๊กสโตร์” รายเล็กๆ จนล้มหายตายจากไปหมด
ทั้ง พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540
อย่างไรก็ตาม ขณะที่คนทำหนังสือหลายคนหวังว่าภาครัฐจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหา ก็มีข้อมูลเล็กๆ ที่น่าห่วงใย ออกมาจากปากของ “น.ส.เนาวรัตน์ ปัญญางาม “ บรรณารักษ์ สำนักหอสมุดแห่งชาติ สังกัดกรมศิลปากร ที่เปิดเผยว่า ทุกวันนี้สถาบันซึ่งควรเป็น 1 ในคลังความรู้ของชาติ ได้รับงบประมาณในการจัดซื้อหนังสือใหม่ เพียงปีละ 1 ล้านบาทเท่านั้น
โปรดฟังอีกครั้ง..แค่ปีละ 1 ล้านบาท !
ซึ่งหากนำไปหารกับจำนวนประชากรไทย 64 ล้านคน จะได้ผลลัพธ์ออกมาว่า รัฐบาลจัดสรรงบในการซื้อหนังสือให้คนไทยคนละ 1.5 สตางค์ต่อปี
“ธุรกิจ” ความรู้ของคนไทย ช่างน่าเป็นห่วงเสียจริงๆ !!!