ยิ่งลักษณ์"กับคดียึดทรัพย์"ทักษิณ
กระแสหนุน "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) ลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทยให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยกำลังมาแรง
เมื่ออาสาเข้ามารับใช้ประชาชนในฐานะ (ว่าที่) ประมุขฝ่ายบริหารย่อมต้องถูก "ทดสอบ" และผ่านการ "ตรวจสอบ" อย่างหนัก
ทดสอบในเรื่องความรู้ ความสามารถ วิสัยทัศน์ ความมุ่งมั่น ความอดทนเพื่อให้แน่ใจได้ว่า สามารถรับภาระอันหนักหน่วงและสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตรวจสอบในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต และความเป็นมา เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ มิใช่เพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้อง
จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่มักจะมีการ "ลองของ" และ "ขุดคุ้ย" เรื่องราวของ "ยิ่งลักษณ์" ขึ้นมาตีแผ่ต่อสาธารณชนเช่นเดียวกับประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ ทั่วโลก ที่บุคคลสาธารณะจักต้องถูก "ทดสอบ" และ "ตรวจสอบ" อย่างหนักจากกลไกต่างๆ และนำมาเปิดเผยต่อประชาชน
การ "ทดสอบ" และ "ตรวจสอบ" ดังกล่าว จึงไม่ควรถูกอ้างว่า เป็นการรังแกผู้หญิงหรือคนที่อ่อนแอกว่า!!เพียงแต่ว่า การ "ทดสอบ" และ "การตรวจสอบ" ดังกล่าว ต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและไม่ก้าวล่วงไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลที่ไม่มีผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ
ก่อนหน้านี้มีความพยายามอ้างว่า "ยิ่งลักษณ์" ขาดคุณสมบัติในการสมัคร ส.ส. เพราะมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 102 (7) ที่ระบุว่า "เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ"
ข้ออ้างดังกล่าว เป็นการ "มั่ว" จับแพะชนแกะเพราะแม้ทรัพย์สินในชื่อของ "ยิ่งลักษณ์" จะถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มูลค่า 46,374 ล้านบาท (หมายเลขแดงที่ อม.1/2553) ฐานร่ำรวยผิดปกติก็ตาม
แต่ "ยิ่งลักษณ์" ก็มิใช่ผู้ถูกกล่าวหาหรือเป็น "ผู้ต้องคดี" เป็นเพียง 1 ในผู้คัดค้านที่ครอบครองทรัพย์สินดังกล่าวแทน (นอมินี) พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น ทรัพย์สินจึงไม่ใช่ของ "ยิ่งลักษณ์" (แม้จะอ้างว่า เป็นกรรมสิทธิ์ของตนก็ตาม)
นอกจากนั้น องค์ประกอบของ มาตรา 102 (7) มีอยู่ด้วยกัน 2 ประการคือ
1.เคยต้องคำพิพากษาฯ ของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน (ยิ่งลักษณ์ มิใช่ผู้ต้องคำพิพากษาหรือคำสั่ง)
2.ร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ ซึ่งจะร่ำรวยผิดปกติได้ในความหมายนี้ต้องเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่อาจมีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
แต่ "ยิ่งลักษณ์" มิใช่เจ้าหน้าที่รัฐ จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะร่ำรวยผิดปกติตามบทบัญญัติในมาตรานี้
คำถามคือ "ยิ่งลักษณ์" เข้ามาเกี่ยวพันในคดียึดทรัพย์ประวัติศาสตร์นี้อย่างไร
ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาศาลฎีกาฯ สรุปได้ว่า เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2543 พ.ต.ท.ทักษินได้แจ้งต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ว่า ได้โอนหุ้นชินคอร์ป 2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาทให้แก่ "ยิ่งลักษณ์" ซึ่งจากการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คสต.) เชื่อว่า เป็นการหลีกเลี่ยง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะ
1.เวลาเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานได้โอนหุ้นชินคอร์ปให้แก่นายพานทองแท้ ชินวัตร เป็นสัดส่วน 24.99 ของทุนจดทะเบียน ถ้าโอนหุ้น 2 ล้านหุ้นในส่วนของ "ยิ่งลักษณ์" และบุคคลอื่นให้อีกจะทำให้สัดส่วนหุ้นในชื่อนายพานทองแท้ถึงร้อยละ 25 ต้องทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งตลาดซึ่งต้องใช้เงินหลายหมื่นล้านบาท
ขณะที่ "ยิ่งลักษณ์" อ้างว่า ขอซื้อหุ้น (มูลค่า 20 ล้านบาท) เพื่อเก็บไว้เป็นทุนในอนาคต โดยซื้อตามกำลังเงินที่มีอยู่
2.การขายหุ้นดังกล่าว "ยิ่งลักษณ์" ได้ออกเป็นตั๋วเงินให้ไว้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ มูลค่า 20 ล้านบาท และไม่มีการชำระหนี้แต่อย่างใด จนกระทั่งบริษัทชินคอร์ปจ่ายเงินปันผลทั้งหมด 6 งวด เป็นเงิน 97.2 ล้านบาท
เงินปันผลงวดแรก 9 ล้านบาท (ปี 2546) ชำระหนี้ให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งหมด งวดสอง 13.5 ล้านบาท สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ แต่อ้างว่าเลขานุการเขียนตัวเลขผิด จึงแก้ไขไปจาก 13.5 ล้านบาท เป็น 11 ล้านบาทเงินปันผลที่เหลืออีก 2.5 ล้านบาท จ่ายเช็คให้ น.ส.พิณทองทา อ้างว่าเป็นการคืนเงินที่ฝากซื้อนาฬิกาจากต่างประเทศ
เช็คอีก 42 ฉบับ เบิกจ่ายเป็นเงินสด รวม 68 ล้านบาท อ้างว่านำไปตกแต่งบ้าน ทำสวน สนามฟุตบอล ซื้อเครื่องประดับ ซื้อเงินตราต่างประเทศ 10 ล้านบาท ฯลฯ
แต่ "ยิ่งลักษณ์" ไม่มีหลักฐานใดที่เกี่ยวกับการใช้เงินสดมากถึง 68 ล้านบาท มาแสดง ศาลฎีกาฯ สรุปว่า ข้ออ้างจึงรับฟังไม่ได้
ในคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตกเป็นของแผ่นดินเนื่องมาจากการใช้อำนาจหน้าที่นายกฯ เอื้อประโยชน์ให้บริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเครือนั้น มีเงินที่ "ยิ่งลักษณ์" ครอบครองอยู่ด้วย 2 บัญชีเป็นเงินกว่า 600 ล้านบาท
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ผู้ใดซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพา เอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือ "รับไว้โดยประการอื่นใด" ซึ่ง "ทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำผิด" ผู้นั้น กระทำความผิดฐานรับของโจร
แล้ว "ผู้ครอบครอง" ทรัพย์สินแทนผู้ที่ใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองจนร่ำรวยผิดปกติจะเรียก บุคคลผู้นั้นว่า อะไรดี?