"ยิ่งลักษณ์" วินมาร์ค และซิเนตรา ทรัสต์
สัปดาห์ก่อน พูดถึง "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ อันดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย กับคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มูลค่า 46,000 ล้านบาท เพื่อไขข้อข้องใจว่า ทำไม "ยิ่งลักษณ์" จึงไม่ขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้สมัคร ส.ส. เพราะตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการมือง "ยิ่งลักษณ์" เป็นเพียงผู้ครอบครองทรัพย์สิน (ส่วนหนึ่ง) แทน พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น
ทรัพย์สินดังกล่าวซึ่งข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯระบุว่า เกิดขึ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณใช้อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีโดยมิชอบเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชินคอร์ป และบริษัทในเครือ จึงมีคำสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินฐานร่ำรวยผิดปกติ
ขณะที่"ยิ่งลักษณ์"ยืนยันว่าทรัพย์สินดังกล่าว(เงินขายหุ้นชินคอร์ป 2 ล้านหุ้นกว่า 982 ล้านบาท) เป็นของตนเอง
ดังนั้น ถ้า"ยิ่งลักษณ์"ได้เป็นนายกรัฐ มนตรี และผลักดันให้มีการนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณในทุกคดีสำเร็จ นอกจาก ครอบครัวชินวัตรจะได้เงินคืนกว่า 46,000 ล้านบาทแล้ว ตัว "ยิ่งลักษณ์" เองก็จะได้เงินคืนหลายร้อยล้านบาทด้วย
เรียกว่าได้ทั้งเงิน อำนาจ และยศถาบรรดาศักดิ์?
นอกจากคดียึดทรัพย์แล้ว "ยิ่งลักษณ์" ยังเกี่ยวพันกับคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซีแอสเสท คอร์ปอเรชั่น(มหาชน) ด้วย
บริษัท เอสซีฯ ยื่นขอจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ราวเดือนกันยายน 2546 โดยระบุว่า คุณหญิงพจมานและบุตรสาว เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ประมาณ 61%
อย่างไรก็ตาม ก่อนการยื่นขอจดทะเบียนไม่กี่วัน บริษัท วินมาร์ค ลิมิเต็ด ที่ตั้งอยู่ บนเกาะบริติช เวอร์จิ้น ซึ่งถือหุ้นใหญ่อยู่ในบริษัท เอสซีฯอีกรายหนึ่ง ประมาณ 20% ได้โอนหุ้นที่ถืออยู่ให้แก่กองทุนแห่งหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นในมาเลเซีย และกองทุนดังกล่าว ก็โอนหุ้นต่อให้แก่กองทุน Overseas Growth Fund Inc. (OGF) และ Offshore Dynamic Fund Inc. (ODF) ซึ่งตั้งอยู่ในสถานที่เดียวกัน
ด้วยข้อพิรุธหลายประการทำให้สื่อ มวลชนตั้งข้อสังเกตว่า บริษัท วินมาร์คฯ กองทุนในมาเลเซีย น่าจะเชื่อมโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวชินวัตร ซึ่งเท่ากับว่า ครอบครัวชินวัตรถือหุ้นอยู่ในบริษัท เอสซีฯ 81% ไม่ใช่ 61% จึงน่าจะเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ซึ่งมีทั้งโทษทางอาญาและโทษปรับสูงสุดกว่า 1,000 ล้านบาท
ในช่วงการตรวจสอบข้อเท็จจริงของสำนักงาน ก.ล.ต. "ยิ่งลักษณ์" ในฐานะกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท เอสซีฯ ได้ทำหนังสือชี้แจง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2549 ว่า "กรณี Win Mark เป็นการเข้ามาถือหุ้นของบริษัท SC โดยการซื้อขายหุ้น และมีการชำระเงินถูกต้องครบถ้วน ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับครอบครัวชินวัตร"
ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างมาตลอดว่า บริษัท วินมาร์คฯ เข้ามาซื้อหุ้นกลุ่มบริษัท เอสซีฯ รวม 6 บริษัท มูลค่า 1,500 ล้านบาท (เมื่อเดือนสิงหาคม 2543) และไม่ใช่บริษัทของตนเอง แต่เป็นของนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบของสำนักงาน ก.ล.ต.และผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต.นำไปเป็นหลักฐานให้การเป็นพยานในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณต่อศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 มีสาระสำคัญสรุปว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ได้ตั้งกองทุนชื่อ "ซิเนตรา ทรัสต์" ขึ้นมาโดยมีหลักฐานที่สำคัญคือ เอกสารการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว ระบุชัดว่าผู้รับประโยชน์จากทรัสต์ดังกล่าวคือ พ.ต.ท. ทักษิณ คุณหญิงพจมานและลูกๆ
จากนั้น "ซิเนตรา ทรัสต์" เข้าถือหุ้นบริษัท บลูไดมอนด์ และให้บริษัท บลูไดมอนด์ ถือหุ้นในบริษัท วินมาร์คฯ 100%
ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณใช้บริษัท วินมาร์คฯ เข้าซื้อหุ้นบริษัทในกลุ่มเอสซีแอสเสท 6 บริษัท มูลค่า 1,527 ล้านบาท จากครอบครัวชินวัตร เมื่อสิงหาคม 2543 โดยเงินจำนวนหนึ่งคือ 300 ล้านบาท มาจากบัญชี พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงในสิงคโปร์
นอกจากนั้น ยังมีหลักฐานว่า บริษัท วินมาร์คฯ เป็นผู้จัดตั้งกองทุนในมาเลเซีย 3 กองทุน ที่เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซีฯประมาณ 20%
ข้อเท็จจริงที่ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงาน ก.ล.ต.ให้การต่อศาลฎีกาฯขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับคำชี้แจงของ "ยิ่งลักษณ์" ชนิดหน้ามือกับหลังเท้า
แม้ในที่สุด สำนักงานอัยการสูงสุดและกรมสอบสวนคดีพิเศษจับมือกันสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานกับพวกในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอส ซีฯ เมื่อเดือนตุลาคม 2551 (แบบมีข้อน่าสงสัย?) ก็ตาม
แต่ข้อเท็จจริงจากคำให้การของผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต.ได้บ่งบอกตัวตนของ "ยิ่งลักษณ์" ในอีกมิติหนึ่งอย่างล่อนจ้อน
ประเทศไทยลองใช้บริการของนายกฯ "ดีแต่พูด" (แต่ทำไม่ได้หรือไม่ทำ?) มาแล้ว
น่าจะลองใช้บริการของนายกฯ "ดีแต่พูด" (........) ดูบ้างก็น่าจะได้รสชาติอีกแบบหนึ่ง