บริบทใหม่ทางธุรกิจการค้า โดย นายธนินท์ เจียรวนนท์
ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “บริบทใหม่ทางธุรกิจการค้า”
โดย นายธนินท์ เจียรวนนท์
กราบเรียน ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงษ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ศาสตราพิชาน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี คุณธนากร เกษตรสุวรรณ นายกสมาคมศิษย์เก่าสถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ คณาจารย์ และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมเหมือนเอามะพร้าวมาขายสวน เพราะคนที่นั่งอยู่นี่เป็นระดับปรมาจารย์ ศาสตราจารย์ แล้วก็เป็นสถาบันที่สอนปริญญาโท ผมก็เอาความรู้ที่ผ่านมา ที่สัมผัสมาพูดคุยแลกเปลี่ยนทุกท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้ ผมเพิ่งไปคุยกับนักธุรกิจ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายธุรกิจของจีน รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของจีน นักธุรกิจที่ฮ่องกง เขาได้ศึกษาแล้วว่าต่อไปเศรษฐกิจของโลกจะเป็นอย่างไร เรื่องนี้สำคัญครับ เพราะใน เครือ ซี.พี.ไปทำธุรกิจพัวพันกับโลก แล้วมีสินค้าขายไป 100 ประเทศ เราตั้งว่าเราจะเป็นครัวของโลก เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกมีบทบาทมากกับ เครือ ซี.พี. จึงขอนำมาแลกเปลี่ยนในวันนี้
โลกวันนี้ หลาย ๆ ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป รวมถึงสเปน โปรตุเกส หรือตุรกี ต่างมีความปั่นป่วน ยังไม่นิ่งแล้วเงินยังเหลือล้น ซึ่งสิ่งนี้เป็นทั้งวิกฤตและโอกาส ในส่วนของยุโรป สหรัฐอเมริกาเศรษฐกิจดีหน่อยเงินก็ไหลกลับ แต่พอทำท่าไม่ดีนักเม็ดเงินก็ไหลกลับเข้าเอเชีย ซึ่งผมมีตัวเลขให้ทุกท่านได้ช่วยศึกษา เมืองไทยวันนี้ผมรู้สึก นักธุรกิจต่างประเทศก็รู้สึกว่า ทำไมเมืองไทยการเมืองไม่ค่อยนิ่ง แต่ไทยยังเกินดุลการค้า เศรษฐกิจไทยเติบโตดีกว่าที่คาดไว้ ซึ่งนักธุรกิจต่างประเทศต่างลงมติว่าเมืองไทย การเมืองไทยกับเศรษฐกิจไทยไม่ค่อยผูกพันกัน
อย่างไรก็ตามในความคิดผม ถ้าการเมืองไทยนิ่งกว่านี้ ไม่มีปัญหาเรื่องสี ผมว่าเมืองไทยจะดีกว่าปัจจุบันไม่รู้กี่เท่า ไม่รู้กี่สิบเปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ผมทำธุรกิจมา 47 ปี ผมรู้สึกว่าวันนี้เมืองไทยอยู่ในฐานะที่ดีที่สุด เช่น ประเทศไทไปทำข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่น ทำให้สินค้าที่นำเข้าส่งออกหลายชนิดไม่มีภาษีซึ่งกันและกัน ขณะที่จีนทำข้อตกลงทางการค้ากับอาเซียน 6 ประเทศ ว่าสินค้านำเข้าส่งออกไม่มีภาษี อยากให้ทุกท่านคิดดู อย่างกรณีญี่ปุ่นซึ่งส่วนใหญ่เข้ามาลงทุนที่เมืองไทย ก็เหมือนกับไปลงทุนที่เมืองจีน สามารถส่งสินค้าไปญี่ปุ่นได้ไม่ต้องเสียภาษี หรือว่าส่งสินค้าไปเมืองจีนก็ไม่ต้องเสียภาษี สิ่งเหล่านี้นักธุรกิจทั่วไปทำกัน ไม่เฉพาะญี่ปุ่น การทำธุรกิจไม่ควรจะเอาไข่ไปใส่อยู่ตะกร้าหนึ่งตะกร้าใด รวมทั้งธุรกิจทั่วโลกที่จะไปลงทุนเมืองจีน ส่วนหนึ่งก็จะมาลงทุนที่เมืองไทย เช่นเดียวกันกับนักธุรกิจจีนก็ต้องหาทางว่าประเทศไหนเหมาะสมที่สุดที่จะเข้าไปลงทุน แล้วส่งสินค้ากลับไปขายเมืองจีน ส่งสินค้าขายทั่วโลก ฉะนั้นโอกาสของไทยวันนี้ดีกว่าในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
เรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง ผมเชื่อว่าในประวัติศาสตร์ไทย ไม่เคยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา คิดเป็น 6,000,000 ล้านบาท แล้วทุกท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดสินค้าของญี่ปุ่นถึงมีราคาแพงที่สุดในโลก เงินเดือนก็สูงที่สุดในโลก เพราะอะไรหรือ เพราะญี่ปุ่นมีเงินเกินดุลอยู่ 1,000,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นยังมีประชากรอีกกว่า 100 ล้านคน มีเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาที่อยู่ต่างประเทศมากกว่าไทย 5 – 7 เท่า โดยญี่ปุ่นมีประชากรมากกว่าไทยเป็น 1 เท่า หรือ 1 เท่าครึ่ง ถ้าเงินทั้งหมดไม่นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ แน่นอนว่าต้องเกิดปัญหาเงินเฟ้อ ราคาสินค้าแพง เงินจะเหลือล้น จะเห็นได้ว่าที่ญี่ปุ่นหากนำเงินไปฝากธนาคารจะไม่มีดอกเบี้ย
ประสบการณ์เช่นนี้ผมเจอมากับตัวเองที่ฮ่องกง นำเงินไปฝากต้องเสียค่าฝาก โดยไม่มีดอกเบี้ย เพราะว่าเงินเหลือล้น วันนี้ที่ฮ่องกง ถ้าจะกู้เงินซื้อบ้านธนาคารจะคิดดอกเบี้ย 1 % กว่า เพราะเงินเหลือ ทำไมเงินเหลือล้น เพราะมีเงินตราต่างประเทศมาก เพราะฉะนั้นก็ต้องศึกษาว่าจีนบริหารยังไง
ผมอยากฝากข้อคิดที่ดี อะไรที่เป็นของใหม่ควรศึกษา เช่น เราเรียนรู้เรื่องของสหรัฐอเมริกาว่าปฏิบัติอย่างไร นอกจากนี้ก็ต้องศึกษาเยอรมัน อังกฤษ เราต้องศึกษา แต่อย่าลืมว่าประวัติศาสตร์เราก็ต้องศึกษาด้วย อย่างกรณีญี่ปุ่นหลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 หมดเนื้อหมดตัว มีหนี้สินรุงรัง แต่วันนี้ญี่ปุ่นเป็นเจ้าหนี้ทั่วโลก แต่ญี่ปุ่นกลับเป็นรัฐบาลที่ยากจนที่สุดของโลก เป็นรัฐบาลที่มีหนี้มากที่สุดของโลก แต่ญี่ปุ่นกลับไม่มีหนี้ต่างประเทศ โดยเป็นหนี้ที่กู้จากประชาชน เพราะญี่ปุ่นไม่ใช้วิธีเก็บภาษี
ผมสังเกตมนุษย์ทุกประเทศ ทุกชาติ ถ้ามีเงินเหลืออยู่ 10,000 บาท ก็อยากสะสมเป็น 20,000 บาท นี่คือมนุษย์ ถ้าเป็นหนี้ 10,000 บาท ไหนก็เป็นหนี้ 10,000 บาทไม่มีโอกาสคืน ก็เป็นหนี้อีก 10,000 บาทจะเป็นไรไป อย่างคนสหรัฐอเมริกา คนทั้งชาติก็เลยเป็นหนี้ ถ้ามีโอกาสจะเป็นหนี้มากขึ้นก็ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็เป็นหนี้อยู่แล้ว ส่วนรัฐบาลญี่ปุ่นฉลาด จะไม่ใช้วิธีที่เอาเงินภาษีเก็บหมด โดยคนญี่ปุ่นจะสะสมซื้อพันธบัตรของรัฐบาลญี่ปุ่นออมไว้ในธนาคาร แม้ว่าจะไม่มีดอกเบี้ยก็ยังฝากไว้ เพราะว่าเสียดายเงิน จากประสบการณ์ส่วนตัวผมเห็นได้ชัด ตอนไปญี่ปุ่นเห็นเสื้อตัวหนึ่งรู้สึกพอใจ แต่เมื่อถามราคาปรากฎว่าแพงจนคิดว่าเงินมีค่ามากกว่าเสื้อที่จะซื้อ ผมเลยเก็บเงินดีกว่า
อะไรที่คิดว่าสินค้าถูกกว่า ถูกเกินไป เงินไม่มีค่า ไม่จำเป็นต้องซื้อก็ซื้อเพราะว่าราคาถูกเกินไป เพราะฉะนั้นญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่ไทยควรศึกษา อย่านึกว่าญี่ปุ่นเจอวิกฤตเศรษฐกิจตั้ง 10 ปีผ่านมาอะไรมา แต่คนญี่ปุ่นยังอยู่ดีกินดีมีเงินเหลือ เพียงแต่เป็นห่วงว่าตกงานแล้วจะเป็นอย่างไร หรือเกิดวิกฤตวันนี้แล้วเป็นยังไง ญี่ปุ่นยังมีเงินเหลือยังสบาย อย่าเข้าใจผิดว่าญี่ปุ่นวันนี้จน ญี่ปุ่นไม่ได้จน เพียงแค่ฝืดเคือง โดยเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังเติบโตไปอย่างนี้เรื่อยๆ สิ่งที่ไทยควรศึกษาจากญี่ปุ่นคือเรื่อง 2 สูง ญี่ปุ่นทำอย่างไร ให้ประชาชนมีบ้านมีรถยนต์
สหรัฐอเมริกา ที่ใช้จ่ายกับอาหารการกินอย่างเต็มที่ ต่อไปเรื่องอาหารจะวิกฤตมากกว่านี้ ไหนจะสภาพดินฟ้าอากาศ สหรัฐอเมริกานำข้าวโพดไปผลิตป็นเอทานอล สินค้าเกษตรขาดแน่นอน ประเทศที่เจริญแล้วไม่มีประเทศไหนไปกดราคาสินค้า สิ่งที่ห่วงที่สุดผู้นำครับ ลองไปศึกษาประวัติศาสตร์ดู เมื่อสินค้าเกษตรตกต่ำ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาต้องมาขายข้าวโพด ถั่วเหลือง เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว ข้าวสาลี ทั้งๆ ที่เกษตรกรของสหรัฐมีเพียง 1 %
ญี่ปุ่น ขายข้าวกิโลกรัมกว่า 100 บาท เราเสนอที่จะขายข้าวให้ญี่ปุ่นราคา 10 กว่าบาทญี่ปุ่นไม่เอา ญี่ปุ่นต้องการให้เกษตรกรของเขาร่ำรวย เห็นได้ว่าวันนี้เกษตรกรญี่ปุ่นรวยที่สุดในโลก สามารถเที่ยวได้ได้ทั่วโลก พักโรงแรม 5 ดาว ส่วนไต้หวันใช้เวลา 20 ปี เกษตรกรไปเที่ยวทั่วโลกได้ เกาหลีใต้ ใช้เวลา 27 ปี ส่วนประเทศไทย ใช้เวลา 200 – 300 ปี เกษตรกรไทยมีแต่หนี้
มีคนว่าเกษตรกรไทยขี้เกียจ ผมยืนยันว่าไม่จริง ถ้ามีผู้นำดี เกษตรกรไทยไม่แพ้เกษตรกรญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นมีผู้นำดีนำเกษตรกร ในเมืองไทย ซี.พี.เลี้ยงกุ้ง ด้วยการส่งเกษตรกรไทย 2 คนไปศึกษาการเลี้ยงกุ้งที่อินเดีย ปรากฎว่าเกษตรไทยเก่งกว่าอินเดีย เก่งกว่าจีน จีนยังยอมรับว่าเกษตรกรไทยเลี้ยงกุ้งเก่งกว่า เพราะว่าเกษตรกรไทยยอมรับเทคโนโลยีใหม่ 100% แต่เกษตรกรจีนรับเทคโนโลยีเต็มที่ 80% ผมสัมผัสมาจีน 30 กว่าปี ไต้หวันอีก 40 ปี เกษตรกรจีนจะไม่ยอมรับ 100% เพราะเขามีความสามารถในตัวและเขาไม่เชื่อเรา 100% เกษตรกรจีนถ้าไม่มีใครเข้าไปช่วยให้ผลผลิต 60% ก็อยู่ได้ แต่ถ้ามีคนไปช่วยอาจได้ผลผลิต 80% แต่เกษตรกรไทยไม่มีใครช่วยก็มีแต่ยากจน แต่ถ้ามีคนไปช่วยก็รอด ไม่ใช่ว่าเกษตรกรไทยขี้เกียจ ผลิตมากขาดทุนมาก ไม่ทำไม่ขาดทุน เลยไม่ทำดีกว่า
ประเทศไทยวันนี้เศรษฐกิจดีเป็นประวัติศาสตร์ ถ้าการเมืองนิ่งเมื่อไหร่ จากนี้ไปหากรัฐบาลเข้าใจ ใช้ทฤษฎี 2 สูง อย่าเข้าใจผิดว่าสินค้าเกษตรสูง สินค้าทุกอย่างสูง แล้วรัฐบาลจะมีปัญหา ประชาชนจะมีปัญหาต้องใช้ 2 สูงค่อย ๆ ขึ้น แล้วใครที่บอกว่าผมจะควบคุมราคาสินค้าให้ต่ำไม่ให้สูง ต้องทบทวน คนที่พูดต้องกลับไปทบทวนว่าไทยเรามีโอกาสจะควบคุมราคาน้ำมันได้หรือไม่ ถ้าไม่มีอย่าพูดว่าให้ราคาสินค้าถูกลงไปอีก เพราะราคาสินค้าไทยมีราคาต่ำกว่าความเป็นจริง
เมื่อ 50 ปีก่อนราคาน้ำมันเบนซินลิตรละ 1.70 - 1.90 บาท วันนี้ราคาน้ำมันเบนซิน 41 บาท สูงขึ้น 24 เท่า ความจริงแล้วราคาน้ำมันยังไม่ได้สูงมาก ราคาที่ดินยังสูงมากกว่านี้อีก ที่ดินเมืองไทย 50 ปีก่อน เทียบกับราคาน้ำมันแล้วสูงกว่ามาก ทองคำเมื่อ 50 ปีก่อน ราคาบาทละ 300 - 400 บาท ปัจจุบัน 22,000 บาท สูงขึ้น 50 กว่าเท่า ส่วนเนื้อไก่ เมื่อ 50 ปีก่อน รัฐบาลไม่ได้ควบคุมราคาเพราะกินได้เฉพาะคนรวย ตอนนั้นเนื้อไก่ราคากิโลกรัมละ 12 บาท หมูราคากิโลกรัมละ 7 บาท ราคาไก่แพงกว่าหมู แต่วันนี้ไก่ราคากิโลกรัมละ 35.50 บาทเพราะรัฐบาลไม่ได้ไปเข้าไปควบคุมราคา อะไรที่รัฐเข้าไปควบคุมราคายิ่งทำให้เกษตรกรรายย่อยอยู่ไม่ได้ สุดท้ายเกษตรกรรายใหญ่ก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน สุดท้ายประชาชนก็ต้องกินของแพง ราคาไม่ตรงกับความเป็นจริงบอกว่าวันนี้ต้นทุนไม่ถึง 3 บาท แต่กลับไม่คิดค่าเสื่อมราคา ไม่คิดว่าหากเกิดความเสียหายแล้วใครจะรับผิดชอบให้เกษตรกร ส่วนกำไรเกษตรกรก็ต้องนำไปขยายสร้างโรงเรือน
ในส่วนของลูกค้าซี.พี. เมื่อผมขายอาหารให้ ซี.พี.ต้องคิดให้เกษตรกรว่าใช้อาหารเลี้ยงไก่ แล้วขายแล้วมีกำไรเท่าไหร่ ต้องบวกค่าเสี่ยง ต้องมีประกันให้เกษตรกร คนยังมีประกันชีวิตแต่ไก่ไม่มีประกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่มีใครกล้ารับรองว่า หากน้ำท่วม ลมพัดแรงหลังคาเสียหาย โรคมาไก่ก็ตาย ซี.พี.ต้องบวกสิ่งเหล่านี้ให้เกษตรกร แล้วต้องบวกอีกสิ่งหนึ่งคือ โรงเรือนต้องสร้าง ต้องขยาย เกษตรกรจะนำเงินที่ไหนไปขยาย ถ้าไม่ได้นำเงินจากกำไรที่ขาย เงินก็กู้ลำบาก ไม่เหมือนอุตสาหกรรม ที่ธนาคารพาณิชย์ยินดีที่จะให้สินเชื่อ เกษตรกรถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงมาก และดอกเบี้ยเงินกู้ก็สูง
ไก่ไข่ 50 ปีก่อน ฟองละ 50 สตางค์ วันนี้ราคาฟองละ 3 บาท เพิ่มขึ้น 6 เท่า เพราะมีการควบคุมราคา ถ้าไม่ควบคุมราคาจะถูกกว่านี้ หมูเมื่อ 50 ปีก่อน ราคากิโลกรัมละ 7 บาท มีการควบคุมราคาอย่างมาก เพราะถือว่าคนทั่วไปกินหมู วันนี้ราคาหมูกิโลกรัมละ 70 บาท เพิ่มขึ้น 10 เท่า เงินเดือนข้าราชการปริญญาตรี 900 –1,200 บาท วันนี้เงินเดือนข้าราชการเดือนละ 10,640 บาท เพิ่มขึ้น 11 เท่า ท่านลองคิดดูสิว่าราคาสินค้าเกษตรที่จะสมดุลกันแต่ก็ไม่มาก สุดท้ายก็จนทั้งคู่เกษตรกรก็จน ข้าราชการก็ไม่รวยเท่าที่ควร เงินเดือนไม่พอ
ที่ผมห่วงที่สุดคนที่นั่งในที่นี้ต้องช่วยกัน วันนี้เราต้องยกย่องข้าราชการ เพราะข้าราชการมีบทบาทมากในยามที่การเมืองไทยวุ่นวายเช่นนี้ แต่เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ เพราะส่วนหนึ่งฝีมือข้าราชการ แต่ถ้าต่อไปคนเก่งๆ บอกว่าเงินเดือนอย่างนี้ พ่อต้องแถมเงินให้
ท่านลองคิดดูไปเรียนสหรัฐอเมริกาต้องใช้เงินอย่างน้อยปีละ 2,000,000 บาท เรียน 4 ปีจบใช้ 8,000,000 บาท ถ้าได้ทุนการศึกษาก็ดี เรียน 4 ปีใช้เงิน 8,000,000 บาทแต่มารับเงินเดือน 10,000 กว่าบาท ปีหนึ่งก็ 100,000 กว่าบาท ขอถามว่ากี่ปีจึงจะได้เงินครบ 8,000,000 บาทไปคืนเงินพ่อแม่ เพราะเงินเดือนที่ได้นั้นไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง
เกษตรกรก็จนหนี้สินรุงรัง ข้าราชการชั้นผู้น้อย ข้าราชการชั้นกลางก็จน ผมว่ารายได้ไม่ควรต่ำเช่นนี้ ถ้าเป็นสมัยก่อนข้าราชการมีรายได้สูงกว่านักธุรกิจ คนเก่งๆ ก็อยากเข้ามาเป็นข้าราชการผมอยากประเทศไทยกลับมาเป็นเช่นนั้นอีกครั้ง แล้วก็อย่าไปไล่ข้าราชการออก ประเทศไทยต้องเปลี่ยนระบบใหม่ใช้เวลา 20 ปี การบริหารต้องใช้เครื่องทุ่นแรง ส่วนข้าราชการที่ออกไปก็ไม่เพิ่ม แต่ให้นำเงินเดือนส่วนนี้ให้กับคนที่ยังรับราชการอยู่ แค่ 20 ปีทุกอย่างก็จะเข้ารูปเข้ารอย แต่ถ้าไม่ทำ 20 ปีพังแน่ เมื่อ 30 ปีก่อนผมก็เคยพูดเรื่องนี้ ถ้าทำวันนี้เงินเดือนข้าราชการก็ดี งานดี
วันนี้เราต้องใช้เครื่องทุ่นแรงลดขั้นตอนที่ยุ่งยากลง เครือซี.พี.ตั้งไว้ว่า ต้องทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย สิ่งนี้สำคัญมากยิ่งสมัยนี้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ จะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันขึ้น 24 เท่า แต่ราคาที่ดินในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นกว่า 100 เท่า ราคาน้ำมันประเทศมหาอำนาจยังควบคุมราคาบ้างแต่ 24เท่า เทียบกับเงินเดือนข้าราชการที่เพิ่มขึ้น 11 เท่า ดังนั้นต้องเพิ่มเงินเดือนข้าราชการอย่างน้อยอีกเท่าตัวก็ยังไม่พอ
วันนี้ราคาน้ำมันแพง ราคาอาหารแพง คนสหรัฐอเมริกา คนยุโรป คนญี่ปุ่นเดือดร้อนหรือไม่ ผมนำตัวเลขค่าน้ำมันกับค่ารถยนต์ของคนสหรัฐอเมริกา เทียบกับรายจ่ายเท่ากับ 15 % ของรายได้ สมมติคนสหรัฐฯ ได้เงินมา 100 บาท จ่ายค่ารถยนต์ ค่าน้ำมัน ค่าผ่อนส่ง ค่าซ่อมบำรุง 15% เท่ากับ 15 บาท ค่าอาหาร 11 บาท ถ้าวันนี้ได้เงิน 100 บาท ค่าใช้จ่าย 36 บาท ยังเหลืออีกกว่า 60 บาท เงินส่วนที่เหลือนำไปสร้างบ้าน สหรัฐอเมริกานำเงินไปสร้างบ้านมากที่สุดแพงที่สุด ถ้าน้ำมันขึ้นราคาอย่าคิดว่าคนสหรัฐฯจะเดือดร้อน เพราะเขาใช้ 2 สูง ส่วนไทยยังใช้ 2 ต่ำอยู่ พอราคาขึ้นทุกบาททุกสตางค์ก็เดือดร้อน เพราะเงินเดือนข้าราชการยังต่ำเกินไป เราควรจะยกราคาให้สูง
ผมบอกว่าสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นน้ำมันบนดินอย่างน้อยต้องขึ้นมา 24 เท่าหรือมากกว่านี้ เพราะเป็นอาหารของมนุษย์ และเป็นอาหารของเครื่องจักร แต่ผู้ที่ผลิตอาหารของมนุษย์และเครื่องจักรยังยากจนถือว่าผิดปกติต้องไปทบทวน เมื่อเกษตรกรยากจนก็ไม่ได้ฉุดธุรกิจในภาคบริการ ภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐก็เก็บภาษีได้น้อยลง การจับจ่ายก็น้อยลงนี่เป็นตัวเลขที่เป็นจริง ผมให้นักวิชาการไปศึกษามา
อย่าคิดว่าสินค้าราคาถูก แล้วพิมพ์เงินออกมาแล้วจะไม่ให้เงินมันเฟ้อเป็นไปไม่ได้ ถ้าวันนี้บริหารเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา เราต้องพิมพ์เงินบาทออกแลกกับเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ได้เงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาเท่าไหร่ก็พิมพ์เงินบาทออกมาแลก ทำให้เงินบาทล้นตลาด และธนาคารแห่งประเทศไทยก็ออกพันธบัตรดอกเบี้ย 3% แล้วนำเงินตรงนี้ออกนอกระบบเพราะกลัวเงินเฟ้อแล้วนำเงินไปฝากสหรัฐอเมริกาแล้วซื้อพันธบัตรดอกเบี้ย 1% ทำให้ขาดทุนไป 100,000 กว่าล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ผมอยากฝากถ้าใครมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนเก่งที่สุดสิงคโปร์ เทมาเส็กเค้าบริหารเงินสองส่วน ส่วนหนึ่งลงทุนในประเทศ อีกส่วนมาลงทุนทั่วโลก ยิ่งกว่ามหาเศรษฐี เทมาเส็กมีเงิน 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกาใช้จนหมดหรือมากกว่านั้น แต่ไทยไม่กล้าใช้กลัว safety ไทยลงทุนทั้งหากำไรทั้ง safety ด้วยได้อาจจะไม่เชื่อ ถ้าเราไม่ให้โอกาสคนจะเก่งได้อย่างไร ถ้าไม่ฝึกฝน จ้างคนเก่งของโลกมาสอนเรา เหมือนรัชกาลที่ 5 ที่นำคนเยอรมันคนอังกฤษมาช่วยสร้าง วันนี้ไม่ต้องถึงสมัยรัชกาลที่ 5 เรามีคนเก่งๆ เรียนจบมาทั้งทุนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พวกอัจฉริยะที่ไปเรียนเราใช้ประโยชน์เขาเต็มที่หรือยัง เรามีเป้าหมาย เรามีงบประมาณไหม
เมืองไทยมีอะไรที่พิเศษ ที่น่าสนใจเข้ามาลงทุน หนึ่งการท่องเที่ยว เขาเรียกว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่มีปล่องไฟ ยิ่งมายิ่งมีบทบาทมาก คนยุโรปบอกว่าท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำ เมื่อเข้าหน้าหนาวคนยุโรปจะท่องเที่ยวกันแล้วเขาก็มาเมืองไทย เพราะสภาพดินฟ้าอากาศไทยเหมาะสม คนไทยยิ้มแย้มแจ่มใส อาหารไทยอร่อย
การท่องเที่ยวไทย จะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน ต้องมีการศึกษาวิจัยว่า โลกนี้ประเทศไหนมีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก เขามีอะไรดี แล้วไปจากประเทศไหน ต้องเจาะลึกเหมือนผมทำธุรกิจ บางทีต้องไปซื้อข้อมูล ต้องจ้างคนมาศึกษาวิจัย แล้วหากผมจะทำโฆษณาก็ต้องหาคนมาสอนว่าจะโฆษณาอย่างไร วันนี้ผมต้องไปจ้างที่ปรึกษามาช่วยผมว่าผมจะบุกเบิกตลาดสหรัฐอเมริกาจะต้องทำอย่างไร ซึ่งรัฐบาลไทยมีเงินที่จะศึกษาวิจัยต้องเอาตัวเลขเอาข้อมูลมา เช่นเยอรมันประชาชนมีรายได้ค่อนข้างสูง เขามาเที่ยวเมืองไทยเพราะติดใจอะไร มาทำอะไร แล้วเขาไปเที่ยวสเปนมากกว่าเขาไปทำอะไร สิ่งแรกต้องไปศึกษาวิจัยว่าคนรวยทั่วโลกเขามาเที่ยวเมืองไทยต้องการอะไร และมาทำอะไร ต้องสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับคนร่ำรวยที่มาเที่ยว เมื่อเขามาเที่ยวแล้วเราจะขายของอะไร ต้องวางแผน ต้องศึกษา ต้องเจาะลึก ซึ่งเป็นหน้าที่รัฐบาล
ประเทศจีน ต่อไปจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาล คนจีนมี 1,300 ล้านคน ต่อไปคนจีนรวยแน่นอน ต้องศึกษาว่าคนรวยของจีนมาเมืองไทยเพื่ออะไร ท่องเที่ยวแล้วต้องการอะไร วันนี้คนรวยของจีนไปซื้อของที่ฮ่องกง ไปยุโรปซื้อของแพงๆ จ่ายเงินมหาศาล แล้วทำไมสินค้าไทยถึงมีต้นทุนสูงกว่ายุโรปได้ คนขายก็เงินเดือนถูกกว่า สถานที่เช่าก็ถูกกว่าฮ่องกง แต่ทำไมต้องไปซื้อสินค้าถึงฮ่องกงไม่มาเมืองไทย เราต้องไปศึกษา แล้วทำให้นักท่องเที่ยวมาซื้อของในเมืองไทย ทำได้แน่นอน ห้างสรรพสินค้าพารากอน ช่วยไทยได้เยอะ เพราะคนรวยๆ มาก็ไปซื้อของที่พารากอน แล้วทำไมจึงไม่เจาะจงหาลูกค้าเหมือนซี.พี.
ซี.พี.ผลิตสินค้าจะขายให้กับคนอายุเท่าไหร่ ต้องมีการศึกษาวิจัยว่ากลุ่มคนแต่ละช่วงอายุต้องการอะไร รสชาดอย่างไร ควรจะขายราคาเท่าไหร่ อาหารควรจะมีน้ำหนักเท่าไหร่ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวใช้หลักเดียวกัน ถ้าหากว่าเราเจาะจง มีงบประมาณมีเป้าหมาย ปฏิบัติจริง ต้องให้นักธุรกิจทำ แต่ภาครัฐก็ต้องมีอะไรรองรับ ว่าถ้าเขามาเที่ยวแล้ว เราจะขายของอะไรให้เขามาแล้วเขาอยากจะกลับมาอีกหรือไม่ ไม่ใช่มาเที่ยวอย่างเดียวแต่ต้องให้เขามาซื้อของด้วย ให้เขาพึงพอใจ ผมรับรองว่าเรื่องท่องเที่ยวของไทยยังไปได้อีกไกลแต่การเมืองต้องนิ่ง เดี๋ยวเดินขบวนไปอยู่ราชประสงค์ใครจะกล้ามา คนร่ำรวยก็ไม่มาเรื่องนี้เสียหายมาก ควรสมานฉันท์ดีกว่า
เศรษฐกิจประเทศไทยยังดีกว่านี้อีกหลายสิบเท่า นี่เฉพาะเรื่องท่องเที่ยวอย่างเดียว หากผู้นำประเทศทำอะไรแล้วมีเป้าหมายมีตัวเลข ต้องศึกษาว่าเราจะเอาลูกค้าระดับสูง กลาง ต่ำ หลังจากนั้นต้องดูว่าถ้านักท่องเที่ยวมาแล้วจะรองรับอย่างไร ขาดเหลืออะไรต้องเตรียมให้พร้อม ไม่ใช่ไปโฆษณาแล้ว ถ้าเขามาแล้วโรงแรมไม่พอ หรือว่าไปโฆษณาระดับล่างแต่โรงแรมระดับล่างไม่พอ ราคาโรงแรมระดับกลางก็สูงไป เราต้องมีเป้าหมายว่าระดับสูงเราจะชักชวนมากี่คน แล้วนักท่องเที่ยวต้องการอะไร อย่างโรงแรม 5 ดาว เขาจะรู้เลยว่าหมอนระดับไหน ผ้าห่มระดับไหน ห้องน้ำต้องเป็นอย่างไร เราต้องมีสถิติ ไม่ใช่โรงแรม 5 ดาวคิดจะสร้างก็สร้างเพราะทุกอย่างต้องมีข้อมูล ท่องเที่ยวก็เหมือนกัน การบริหารประเทศก็เหมือนกับการบริหารบริษัท เราต้องมีเป้าหมาย ผมอยากให้มหาวิทยาลัยสร้างนิสิตที่ออกมาแล้วทำงานได้เลย ไม่ใช่ออกมาแล้วไปเตะฝุ่นไม่มีงานทำ หรือว่าภาคธุรกิจไม่ต้องการแรงงานด้านนี้ แล้วเราจะผลิตนิสิตออกมาทำไม เสียเงินงบประมาณ ทำลายอนาคต
เมืองไทยจากนี้ไปการผลิตนิสิตต้องมีเป้าหมายต้องทำการศึกษาวิจัยว่าในอนาคตเมืองไทยต้องการแรงงานประเภทไหน ส่วนตัวผมมองว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่มีปล่องไฟ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม แล้วในอนาคตถ้าประชากรจีน 1,300 ล้านคนร่ำรวยขึ้น รัสเซีย ยุโรปตะวันออก อินเดียต่อไปจะมีประชากร 1,000 กว่าล้านคน หากรวยขึ้น 10% ก็เท่ากับ 100 กว่าล้านคนซึ่งเท่ากับญี่ปุ่น ส่วนคนจีนถ้า 10% รวยขึ้นก็มากกว่าญี่ปุ่นรวยทั้งประเทศ หากนำ 10% นี่มาเที่ยวเมืองไทย อินเดีย 10% มาเที่ยวคนพวกนี้รวยกว่าคนญี่ปุ่นทั้งประเทศมาเฉลี่ย10% ก็ 100 ล้านคน แล้วจะเอาโรงแรมที่ไหนให้อยู่ไม่พอหรอกครับ
สิ่งเหล่านี้เป็นโอกาสของไทยทั้งการสร้างงาน สร้างโอกาสทางธุรกิจอีกมหาศาลทั้ง เฟอร์นิเจอร์ รถยนต์ ทัวร์ โลจิสติกส์ ไกด์ ภัตตาคาร เท่านี้คนไทยก็จะร่ำรวยกันใหญ่ แต่รัฐบาลต้องทำเป็น ไม่ใช่ไปโฆษณาชักชวนให้เขาเข้ามาท่องเที่ยวแล้วเราไม่ได้ทำการศึกษา ไม่เตรียมพร้อม หากนักท่องเที่ยวมามากไปเราไม่มีโรงแรมให้อยู่ เมื่อนักท่องเที่ยวมาแล้วไม่มีของที่เหมาะสมขายให้ ตรงนี้ผมมองว่าเป็นโอกาส อย่าลืมว่าไทยเป็นครัวของโลก ไทยมีน้ำมันบนดิน สินค้าการเกษตร เกือบ 100% เกิดจากประเทศไทย ไม่ใช่แค่ 70 - 80 % หรือไปซื้อมาประกอบแล้วขายได้กำไร 10%กว่า สินค้าเกษตรเป็นของไทยเกือบ 100% น้ำมันบนดินนี้มันงอกจากผืนแผ่นดินไทยเป็นทรัพย์สมบัติของชาติ ถ้าประเทศไหนมีน้ำมันราคาถูกประเทศนั้นจนแน่ แต่ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราต้องยกสินค้าเกษตรของให้สูงขึ้น เพราะเป็นทรัพย์สมบัติที่มีค่าใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด ใช้หมดก็เริ่มใหม่ ดังนั้นต้องให้ราคาสูงถึงจุดหนึ่ง ราคาน้ำมันก็ต้องให้สูงถึงจุดที่ใช้แสงอาทิตย์ยังคุ้ม ตอนนั้นน้ำมันก็จะหยุด มิเช่นนั้นจะสูงไปเรื่อยๆ
ต่อไปน้ำมันก็ต้องขึ้นราคา สินค้าทุกอย่างก็ต้องขึ้นราคา เราก็ขึ้นเงินเดือนได้สบาย เพราะเราพร้อมทุกอย่างเรามีทรัพย์สิน เพียงแต่เราไปกดทรัพย์สินของเราให้ต่ำลงคนไทยถึงยังจน ลองศึกษาข้อมูลจากเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา ยุโรป เขาจะห่วงว่าราคาสินค้าเกษตรจะต่ำ เพราถ้าสินค้าเกษตรมีราคาสูงเขาก็สบาย ผู้บริหารประเทศสบาย เพราะสัดส่วนบริโภคน้อยความต้องการก็มีสูงขึ้น
ผมไปพบชาวไร่ที่รับจ้างเขาได้เงิน 200 บาท ใช้ซื้อของกิน 100 บาทเพราะเขาจึงใช้ไป 50% บางทีก็ 60% ถ้าเป็น 400 บาทเขาจะเหลือ 30% ถ้าวันหนึ่งได้เงิน 800 บาทเขาจะเหลือเงิน 15% สูงกว่าสหรัฐอเมริกา แล้วจะเป็นอะไรไป โวยกันว่าแล้วอย่างนี้อุตสาหกรรมจะอยู่ได้อย่างไรต้องให้คนพม่าเข้ามา เพราะแรงงานไทยยังไปขายแรงงานทั่วโลก วันนี้ไทยจะใช้แรงงานคนอื่นเรากลัวอะไร เราต้องยกระดับรายได้ขั้นต่ำ อุตสาหกรรมไหนอยู่ได้มีปัญหาภาครัฐต้องช่วย
ส่วนอุตสาหกรรมไหนที่ไม่มีอนาคต ภาครัฐก็ต้องตั้งเป้าหมายว่าจะช่วยเขาอย่างไร ให้เขาโยกย้ายหรือส่งเสริมให้ไปลงทุนประเทศอื่น หรือจะให้เขาใช้แรงงาน 100% จากต่างประเทศชั่วคราว แล้วขึ้นค่าจ้างแรงงานไทยให้สูงขึ้นเขาก็จะไม่เดือนร้อน มิฉะนั้นถ้าไข่ไก่ขึ้นราคา 50 สตางค์เขาเดือดร้อน ขึ้นมา 1 บาทก็เดือดร้อน ทำไมเราไม่ทำให้เหมือนกับต่างประเทศ อาหารการกินเหลือ 10% ญี่ปุ่น ยุโรป 10% สหรัฐอเมริกาสูงสุด 11 – 12% น้ำมันขึ้นไปอีกเท่าสองเท่า ครบ 15% รวมทั้งค่าใช้จ่ายรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา
เพราะฉะนั้นเราต้องมาตั้งเป้าหมายว่าน้ำมันบนดินมีกี่ตัว มีปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง อ้อย วันนี้ไทยปลูกอ้อยมากเป็นอันดับที่สองของโลก ถ้าเราพัฒนาพันธุ์ให้ดี เอาเทคโนโลยีเข้าช่วย เหมือนกับที่ซี.พี.เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ ตอนนี้เลี้ยงหมู 5,000 ตัว ไก่จาก 10,000 ตัวเป็น 150,000 ตัว เพราะคนไม่รู้จักพอใจเราต้องเข้าใจ วันนี้ค่าแรงงานเราสูงขึ้น พอถึงช่วงหนึ่งก็ไม่พออีก มนุษย์ไม่มีวันพอใจ เพราะฉะนั้นผู้นำประเทศ หรือผู้นำบริษัทอย่างผม ต้องเตรียมว่าเราต้องเพิ่มขึ้นไปเรื่อยตามสิ่งแวดล้อมตามสภาพความเป็นจริง เดือนมิถุนายน ซี.พี.จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีก 5 บาท นำร่องขึ้นก่อน ที่ขึ้นก่อนมาจากสินค้ามีราคาสูงขึ้น ซี.พี.ก็ต้องให้ก่อนได้ที่หลังตามหลักศาสนาพุทธสอนให้เราให้ เรารักเขาเข้าใจเขา เขาก็ทุ่มเทให้เรา มาเพิ่มประสิทธิภาพ ให้เขาช่วยออกความคิดเห็น ให้เพิ่มประสิทธิภาพ สองสูงอีกเหมือนกัน ประสิทธิภาพสูง รายได้สูง ความจริงแล้วกลายเป็นต่ำ สองสูงกลายเป็นหนึ่งต่ำ สองต่ำกลายเป็นหนึ่งสูง ลองไปศึกษาดูสิครับ ประเทศไหนที่ใช้สองต่ำแล้วสุดท้ายถ้าไม่ล้มละลาย รัฐบาลจะไม่มีภาษี คนตกงานมากขึ้น อุตสาหกรรมไม่เกิด ไทยยังโชคดีที่ไปดึงอุตสาหกรรมจากต่างประเทศเข้ามา ถ้าเป็นไต้หวัน เกาหลีใต้สมัยนั้นไม่มีใครไปลงทุน ใครจะไปลงทุนไต้หวันกับเกาหลีใต้ เมืองไทยโชคดีแต่ทำไมไม่ร่ำรวยได้อย่างไร เราโชคดีแบบนี้ เพราะว่าบริหารผิดผมพูดได้แค่นี้ ถ้าจะให้เข้าใจลองไปศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศเหล่านี้เขาสร้างชาติอย่างไร เยอรมันสงครามโลกครั้งที่สองเขาสร้างชาติอย่างไร
การทำเกษตรทุกอย่าง เรื่อง พันธุ์ต้องมาก่อน อ้อยต้องปลูกแล้วได้ผลผลิตถึง 30 ตัน แค่ผลผลิต 20 ตันหลายประเทศทำมานานแล้ว ส่วนมันสำปะหลังต้องให้ได้ไร่หนึ่งอย่างน้อย 15 ตัน เพราะเราเคยปลูกได้ไร่ละ 4 - 5 ตันมาแล้ว มันสำปะหลังสามารถผลิตแทนน้ำมันเบนซินได้ ต่อมาคือปาล์ม ข้าวซึ่งต่อไปขาดตลาดแน่นอน เนื่องจากปาล์มต้องการน้ำ ปลูกข้าวก็ใช้น้ำมาก ซึ่งต่อไปน้ำจะมีบทบาทมาก ราคาข้าวที่เป็นอยู่ขณะนี้ไม่ถูกต้อง ข้าวต้องราคาแพงกว่านี้ ไม่แพงก็ต้องแพงเพราะเกษตรกรจะหันไปปลูกยางพารามากขึ้น
ยางพาราของไทยต่อไปจะยิ่งใหญ่ เพราะว่าราคายางเทียมแพง หากราคาน้ำมันแพงราคายางเทียมก็ยิ่งแพง และอีกหน่อยน้ำมันก็จะหมด เพราะยิ่งใช้ยิ่งหมดไม่มีทางเกิดใหม่ หลังจากนั้นก็ต้องหันมาใช้ยางธรรมชาติแทน อย่างไรก็ตามในเวลาเดียวเราอย่าได้นิ่งนอนใจ ต้องตั้งหน่วยงานศึกษาวิจัยว่าหลังจากใช้น้ำมันมาผลิตยางเทียมแล้ว ต่อไปมีเทคโนโลยีอะไรที่จะมาทดแทนยางเทียมได้ เราต้องศึกษาไปพร้อมกันด้วย วันนี้ไทยได้เปรียบมีการส่งออกยางพารามากที่สุดในโลก
ประเทศไทยมีสินค้าส่งออก 3 อย่างที่ส่งออกมากที่สุด คือ ยางพารา ข้าว และกุ้ง ส่วนอ้อยไทยมีการส่งออกเป็นที่สองของโลก ในเมื่อไทยมีการส่งออกสินค้าเกษตรดีขนาดนี้แล้วทำไมเกษตรกรถึงยังยากจน เป็นเพราะรัฐบาลไม่เข้าใจ มองเฉพาะรายได้ขั้นต่ำ ทำไมไม่ทำให้สูงขึ้น ในเมื่อไม่มีทางเลี่ยงว่าราคาสินค้าต้องแพง เมื่อราคาต้องแพงก็ควรปรับขึ้นเลยโดยเฉพาะสินค้าเกษตรเพราะเป็นสมบัติของชาติ จากนั้นจึงมาขึ้นรายได้ให้กับข้าราชการ คนยากจน ไม่ใช่ไปกดรายได้ สุดท้ายเอาคนจนมา Subsidize คนจนและคนรวยในเมืองอย่างนี้ประเทศจะอยู่ได้อย่างไร เกษตรกรก็มีหนี้สินรุงรัง
ผมว่าเป็นหนี้สมัยนี้ลำบากกว่าเป็นทาสสมัยก่อนเสียอีก แต่วันนี้เราเป็นทาสของเงิน ตื่นมาทำอย่างไรก็ไม่มีเงินคืน เหมือนตายทั้งเป็นถ้าคนมีความรับผิดชอบ ยกเว้นหากเป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ แล้วเราจะทำร้ายคนมีความรับผิดชอบได้อย่างไรต้องช่วยเขา พวกค้ายาบ้าชีวิตเขาไม่มีโอกาสไปกู้เงินดอกเบี้ยร้อยละ 10 - 20 เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องหันไปขายเฮโรอีน ยาบ้า ถูกจับยังดีกว่าอยู่ข้างนอกแล้วมีพวกอันธพาลมาตามเก็บหนี้ เช่นนี้แล้วสังคมจะอยู่อย่างไร เราต้องไปศึกษาความเป็นจริงแล้วแก้ปัญหาจากต้นเหตุ
ข้าวเป็นตัวหนึ่งที่น่าสนใจมาก เราต้องผสมพันธุ์ให้หอมมากขึ้น ให้ผลผลิตสูงขึ้น แล้วขายแบบพรีเมี่ยม ใครๆ ก็ติดใจข้าวหอมมะลิ แต่ไทยไม่มีงบประมาณไม่มีหน่วยงานที่มาดูแลจริงจัง ขณะที่งบประมาณของกระทรวงเกษตรทั่วโลก 15% เป็นเงินเดือน อีก 85% ใช้ในการศึกษาวิจัยลงทุน แต่ของไทย 85% ใช้ในการจ่ายเงินเดือน ส่วนที่เหลือ 15% ถึงจะนำไปพัฒนาเกษตร ไทยไม่ได้ดูความเป็นจริงว่าอะไรควรให้มากให้น้อย บางทีให้มากไปแล้วก็นำขุดร่อง เพราะว่าง่ายที่สุดตรวจสอบยาก เผลอๆ ก็เอาเงินเข้ากระเป๋าโดยไม่ทำอะไร ทำไมไม่นำเงินเหล่านี้ไปลงทุนเรื่องชลประทาน จะบอกว่าไทยไม่มีเงินเป็นไปไม่ได้ ไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศ 6,000,000 ล้านบาท นำไปทำกองทุนต่างประเทศแล้วนำกลับมากู้ทำชลประทาน ทำในสิ่งที่ได้ผลไม่ใช่ไปซื้อพันธบัตรสหรัฐอเมริกาที่ให้ผลตอบแทน 1% พอขาดทุนก็ไปกู้หนี้ต่าง ๆ ที่ดอกเบี้ยสูงซึ่งในที่สุดก็ต้องใช้คืนหนี้เหล่านี้ ทำไมไทยไม่กู้เงินของตัวเองแทน เรื่องนี้ขอฝากถึงคนที่จะมาเป็น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ศึกษาเรื่องนี้ด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่จะเป็นโอกาสของประเทศไทย เราต้องดึงดูดเทคโนโลยี อุตสาหกรรมเราอย่าเลิก เราต้องพร้อมมีโอกาส แต่ต้องไปเสาะแสวงหาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาสู่ประเทศไทย ไฮเทคโนโลยีที่จริงแล้วคือคนไม่ใช่เครื่องจักร เพราะคนไปสร้างเครื่องจักร สร้างไฮเทคโนโลยี สร้างซอฟต์แวร์ ดังนั้นต้องดึงคนเก่งๆ มาแล้วสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม อย่างเช่น ภูเก็ต เหมาะที่จะสร้างเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ในเมื่อประเทศจีนยังทำได้เลยแล้วทำไมไทยจะทำไม่ได้ ดึงคนเก่งๆ มาอยู่ที่ภูเก็ต มาเสียภาษี ทำกำไร แล้วเก็บภาษี 15% เพียงเท่านี้ประเทศไทยก็ได้แล้ว มีงบประมาณส่งเสริมคนที่มีความสามารถ ช่วยเงิน หรือดึงกองทุนมาสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมือนสหรัฐอเมริกา ต่อไปโลกไม่มีพรมแดน จะอยู่สหรัฐอเมริกาหรืออยู่ภูเก็ตก็เหมือนกัน
นอกจากนี้ต้องทำให้ทั่วโลกมาลงทุนที่เมืองไทย มาตั้งสำนักงานใหญ่ที่เมืองไทย มาเสียภาษีที่เมืองไทย ภาษีรายได้ควรเหลือ 15% ผมเชื่อว่ามีหลายประเทศต้องการนำเงินเข้ามาลงทุนเพื่อทำกำไรแต่ต้องให้เขาเสียภาษีเดี๋ยวจะถูกกล่าวหาว่าไปค้าเฮโรอีนหรือค้าอาวุธ เมื่อเป็นเช่นนี้ไทยก็มีโอกาสเก็บภาษี 15% เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 1% แต่หลังจากเก็บภาษีเขาจนถึงระยะหนึ่งก็ลดภาษีลง 1% ภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ควรสูงมากเพราะในโลกนี้มีแต่แข่งกันต่ำ เพื่อขยายฐานให้ใหญ่ขึ้น ให้คนมาเสียภาษีมากขึ้น เรื่องนี้ก็ควรไปศึกษาให้ดี เพราะเป็นโอกาสอย่างมากของประเทศไทย
มหาวิทยาลัยต้องสร้างนิสิตออกมาทำงานได้เลย ต้องไปศึกษาวิจัยว่าสังคมต้องการนิสิตสาขาไหน แล้วจึงผลิตนิสิตออกมาตามความต้องการ ส่วนข้าราชการ วันนี้นักธุรกิจต้องขอบคุณเพราะการเมืองไทยวุ่นวายแบบนี้ แต่เศรษฐกิจยังไปได้ เพราะช้าราชการมีฝีมือมีความสามารถ แต่เป็นห่วงว่าต่อไปจะไม่มีคนเก่งๆ มารับราชการเพราะเงินเดือนต่ำ ดังนั้นต้องปรับเงินเดือนให้สูง
ส่วนในเรื่องของ ป่า ต้องสัมปทานให้ข้าราชการที่ทำความดี ให้เขาดูแลไปปลูก ถ้าเขาตัดต้นไม้ 1 ต้นเขาต้องปลูกต้นไม้ 3 ต้น ซึ่งเขาปลูกแน่นอนถ้าป่าเป็นของเขาใครมาขโมยตัดป่าเขาจะจัดการ แต่หากปล่อยไว้อย่างนี้ป่ามีเท่าไหร่ก็หมด เขื่อนไม่มีน้ำ อ่างเก็บน้ำไม่มีน้ำเราต้องไปสร้างป่าใหม่ ป่าจะดูดน้ำให้อุดมสมบูรณ์ ตรงนี้ต้องฝาก ทำไมไม่ตอบแทนให้ข้าราชการที่ทำงานมาหลายสิบปีแล้ว เงินเดือนต่ำไป ต้องยกย่องให้เกียรติข้าราชการอย่างพอเพียง คนเก่งๆ จึงจะเข้ามา เปลี่ยนระบบใหม่ การบริหารจัดการอย่าให้ขั้นตอนเยอะใช้คนน้อย ให้เงินเดือนสูง
ผมยกย่องนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เขาเงินเดือนสูงกว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ถ้าเขานำความรู้ความสามารถไปทำธุรกิจรับรองเงินเดือนจะเยอะกว่านั้นแต่เขาเสียสละเพื่อประเทศ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา พอเลิกแล้วรัฐบาลยังดูแล นายกรัฐมนตรีของไทยพอเลิกแล้วมีไหม? แล้วมาบอกไม่คอรัปชั่น ไม่พูดความจริงกัน ทำไมไม่ไปแก้ปัญหาที่ต้นตอ ทุกอย่างต้องมีเป้าหมาย ต้องมีงบประมาณ จับมือกับมหาวิทยาลัย สร้างและหาข้อมูลคนเก่งในเมืองไทยมีเยอะแยะ ต้องเอามาใช้ สร้างโอกาส ผมว่าเมืองไทยอนาคตสดใส เผลอๆ ไทยอาจจะรองลงมาจากจีน ไม่ใช่สิงคโปร์ ฮ่องกง หรืออินโดนีเซีย
ผมจะพูดเรื่องเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ อันดับ 1 คือ จีนมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 3,000,000 ดอลลาร์สหรับอเมริกา อันดับ 2 ญี่ปุ่น ห่างจากจีนมากทั้งที่ญี่ปุ่นเคยอยู่ในอันดับ 1 โดยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา แต่ทำไมญี่ปุ่นเงินถึงล้นตลาดเพราะ เขาเอากลับมาใช้ประโยชน์สูงสูดในประเทศ ทำให้สินค้าถึงมีราคาแพง เงินเดือนถึงสูง เพราะว่าใช้สองสูง ผมขอฝากให้อาจารย์ไปศึกษาดูว่าทำไมญี่ปุ่นใช้สองสูงถึงได้ผล ศึกษาว่ามีข้อดีข้อเสียอะไร อันดับ 3 รัสเซีย มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 525,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับที่ 4 ซาอุดิอาราเบีย มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 466,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา เพราะเขาขายน้ำมัน อันดับที่ 5 ไต้หวัน เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับที่ 6 บราซิล เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 329,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา อันดับที่ 7 อินเดีย เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 308,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา อันดับที่ 8 เกาหลีใต้ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 307,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับที่ 9 สวิตเซอร์แลนด์ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 280,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา อันดับ 10 ฮ่องกง เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 277,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา อันดับที่ 11 สิงคโปร์ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 243,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา อันดับที่ 12 เยอรมัน เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 221,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา อันดับที่ 13 ไทย มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 208,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา แล้วคนเราจนได้อย่างไร ทั้งที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงกว่าฝรั่งเศส ที่อยู่ในอันดับที่ 14
ทุกวันนี้ไทยยังไม่ใช้โอกาสตรงนี้มาพัฒนาประเทศไทย มัวแต่ห่วงเรื่องเงินเฟ้อ ทั้งที่ไทยยังขาดเงินอีกเยอะ ไทยยังต้องการอีก ต้องลงทุนอีกมาก ควรตั้งเป็นกองทุนมาพัฒนาประเทศ ในเรื่องนี้ผมพูดมาหลาย 10 ปีแล้วว่า ตลาดของโลกเป็นของซี.พี. ซึ่งเราจะต้องบอกว่าตลาดของโลกต้องเป็นของประเทศไทย วัตถุดิบของโลกต้องเป็นของประเทศไทย ถ้าเราจะไปขายทั่วโลก เราต้องไม่จำกัดการซื้อ เพราะแค่ประเทศไทยก็ไม่พอ คนเก่งของโลกต้องเป็นของไทย เงินของโลกต้องเป็นของไทย ต้องรู้จักเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ เราต้องมีนโยบายให้ชัด ตั้งเป้าหมายให้ชัด ลงลึก ศึกษาข้อมูล ผมว่าอาจารย์ รวมทั้งนักธุรกิจรู้เรื่องนี้หมด
อย่างวันนี้ผมจะเข้าสู่เรื่องยางพารา ซี.พี.ชนะแน่ วันนี้ซี.พี.มีพันธุ์ยางพาราที่ดีที่สุด ปลูกได้ 30 ปี เก็บน้ำยางได้มากกว่าเท่าตัว การทำเกษตร พันธุ์สำคัญสุด อย่างเช่นการปลูกปลูกมะเขือเทศผมได้ไปดูเขาปลูกในร่มในเรือนกระจก เขาลงทุนมีพันธุ์ที่ผลิตและเก็บได้ทั้งปี ปลูกเป็นชั้น 4 ชั้น 3 เดือนเก็บ พอเก็บเสร็จชั้นที่ 1 หมด ชั้นที่ 2 ก็มีลูกให้เก็บ ทยอยเก็บอย่างนี้ทั้งปี โรงเรือนกระจกสูง ถ้าเราเอาของเขามาแล้วไม่เข้าใจปลูกชั้นเดียวพันธุ์ก็เตี้ย รับรองล้มละลายแน่นอน เพราะฉะนั้นพันธุ์สำคัญที่สุด แล้วผมทำอย่างไรให้ผู้เชี่ยวชาญศึกษาวิจัยทั่วประเทศ ทั้งสภาพดินฟ้าอากาศว่าที่ไหนเหมาะสมกับการปลูกยางพารามากที่สุด ซี.พี.ก็จะเข้าไปส่งเสริม นำพันธุ์ยางพาราที่ดีไปให้ ถ้าขาดแคลนเงินทุน ซี.พี.ก็หาธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อให้ ให้เกษตรกรปลูกแล้วซี.พี.รับซื้อ
วันนี้ซี.พี.พัฒนาไปถึงขั้นนี้ได้ ต้องขอบคุณกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่พัฒนาพันธุ์ยางพาราอย่างต่อเนื่องโดยซี.พี.เพียงแค่นำมาต่อยอด ขณะนี้ ซี.พี.กำลังทดลองว่าถ้าใช้ฮอร์โมนต้นยางพาราจะตายหรือไม่ หรือว่าจะอยู่ได้ถึง 20 กว่าปี และต่อไปจะใช้วิธีการเจาะแทนการกรีดยาง คนที่ไม่เป็นก็เจาะได้ใช้สวานที่ตัวเดือยไม่ลึก ไม่ทำให้ต้นยางเสียหาย ใส่ฮอร์โมนเข้าไปน้ำยางจะไหลออกมาตามท่อได้น้ำยาง 100% ไม่มีสิ่งเจือปน แล้วซี.พี.จะสร้างโรงงานที่ไม่ใหญ่ให้ใกล้สวนยางที่สุดโดยคำนึงถึง logistic เมื่อน้ำยางส่งมาแล้วจะได้แปรสภาพทันที ซี.พี.มีพันธุ์ยางพาราที่ดี เป็นพันธุ์เกิดขึ้นในเมืองไทย แต่ไม่ใช่ของซี.พี. เพียงแต่ซี.พี.ไปศึกษาทั่วประเทศว่ามีพันธุ์ดีที่ไหน ซึ่งไม่ใช่ไฮบริด เมื่อเจอก็ให้ นักวิชาการไปศึกษาพบว่าเป็นการกลายพันธุ์ ปรากฏว่าต้นใหญ่ต้นหนา ให้น้ำยางมากกว่าเท่าตัว
ที่ซี.พี.ทำอะไรสำเร็จเพราะว่าเราศึกษา เวลาจะไปส่งเสริมให้เกษตกรเพาะปลูกอะไร จะต้องดูว่าพื้นที่นั้นเหมาะสมจะปลูกอะไร ถ้าไม่เหมาะสมซี.พี.จะไม่ส่งเสริม เช่นถ้าพื้นที่เหมาะสมกับการปลูกมันสำปะหลังก็ส่งเสริมให้ปลูกมันสำปะหลัง ถ้าปลูกอ้อยดีก็ส่งเสริมปลูกอ้อย ซี.พี.ต้องศึกษาวิเคราะห์ทั้งดิน และสิ่งแวดล้อม ศึกษาหาข้อมูลก่อน โดยไม่ฟื้นธรรมชาติ ซึ่งประเทศไทยควรจะเอาเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่มี 6,000,000 บาท มาตั้งกองทุนพัฒนาประเทศแทน ควรลงทุนในสิ่งที่ได้และคืนทุนแน่นอน อย่างชลประทานรับรองคืนทุนแน่นอน เพราะผลผลิตจะสูงขึ้น
ผมเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีความหวังแน่ สินค้าเกษตรราคาสูงขึ้น รัฐบาลต้องเดินหน้าพัฒนาให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น รับรองชนะทั้งคู่ ไม่ใช่อีกทางก็ไม่เพิ่มรายได้ อีกทางก็ไปกดให้ต่ำ คนที่ถูกกดก็เจ็บใจ คนที่ซื้อสินค้าตามเดิมก็ไม่ได้ดีใจ ถ้าเพิ่มเงินใส่ในมือให้เขาจะปรบมือว่านี้รัฐบาลของผมอย่างแท้จริง แล้วขึ้นราคาสินค้าเกษตรให้เหมาะสมกับความเป็นจริงของโลกให้ขึ้นตามน้ำมัน หากเรายังไม่สามารถควบคุมราคาน้ำมันได้ โดยต้องหันไปพัฒนาเทคโนโลยี แรกๆต้องปล่อยให้สูงเพื่อที่ทุกคนจะได้มีกำลังใจกล้าลงทุน เมื่อมีกำไรไม่เสี่ยง ธนาคารก็กล้าให้สินเชื่อ เพื่อนำไปลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี อย่างไรก็ตามผมมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทย แม้การเมืองจะวุ่นวาย แม้ว่าขณะนี้ต่างคนต่างโชว์ นโยบายกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีเป็นจุดเริ่มต้นที่เริ่มดี ใครอยากโชว์อะไรก็โชว์ให้เต็มที่ แต่ต้องทำให้ได้นะ
หมายเหตุ : ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “บริบทใหม่ทางธุรกิจการค้า”
โดย นายธนินท์ เจียรวนนท์
ประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์
ในงาน Thailand Lecture 3rd “WISDOM for Change”
วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน 2554
ณ ห้องประชุม ดร.สมศักดิ์ – คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
คณะบริหารธุรกิจ สมาคมศิษย์เก่าคณะบริหารธุรกิจ และสมาคมนักศึกษาเก่าสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า)