- Home
- Isranews
- เวทีทัศน์
- “ ดร.กนกกาญจน์ อนุแก่นทราย” อัพเดท “โตไปไม่โกง” พฤติกรรมเด็กเปลี่ยนแปลง 80-90 %
“ ดร.กนกกาญจน์ อนุแก่นทราย” อัพเดท “โตไปไม่โกง” พฤติกรรมเด็กเปลี่ยนแปลง 80-90 %
ก่อนที่โปสเตอร์หาเสียงของพรรคการเมืองจะติดเต็มพรึ่บไปทั่วเมืองอยู่ในขณะ นี้ ก่อนหน้านี้ หากผ่านสถานีรถไฟฟ้า เราได้เห็นโปสเตอร์รณรงค์ “โตไปไม่โกง”ติดอยู่จำนวนไม่น้อย
ที่มาที่ไปของป้าย (ทิ่มแทงใจ) มาจากผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักของโครงการนี้ ดร.กนกกาญจน์ อนุแก่นทราย ผู้อำนวยการศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ และผู้ช่วยเลขาธิการ องค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย
เธอให้สัมภาษณ์ ศูนย์ข้อมูล&ข่าวสืบสวนฯ (TCIJ) เกี่ยวกับ “โตไปไม่โกง”
ที่มาของโครงการนี้?
เราคิดว่าจะทำยังไงให้ประชาชนเมื่อเติบโตขึ้นมีจิตใจรักความถูกต้อง ในหลักของโตไปไม่โกง เรากำหนด 5 ข้อหลักที่เด็กๆ ต้องเรียนรู้ที่ครอบคลุมการเป็นคนดีเพื่อส่วนรวม คนดีมีหลายอย่างนะ ดีมีน้ำใจ พูดจาสุภาพ นี่ก็เป็นคนดีประเภทหนึ่ง ใช่มั้ย แต่คนดีเพื่อส่วนร่วมที่จะเกี่ยวข้องกับโตไปไม่โกง มีอยู่ 5 เรื่องด้วยกันคือ
ซื่อสัตย์สุจริต รักษาสัญญานี่เบื้องต้นเลย ทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่เบี้ยว
รับผิดชอบ ทำอะไรต้องทำให้เสร็จ การรับผิดชอบไม่ใช่แค่งานเสร็จ แต่รับผิดชอบต่อผลที่มันเกิดขึ้น ไม่ต้องรอคำสั่งศาลก่อนสิ ฉันผิด ขอโทษ นี่คือรับผิดชอบต่อการกระทำ
รักในความเป็นธรรม คนที่จะโตไปไม่โกงได้ต้องรักความเป็นธรรม การคอร์รัปชั่นมันเป็นการไม่ยุติธรรมต่อคนอื่น เด็กไทยน่าจะมีหนังสือดีๆ อ่าน มีนมดื่ม แต่ทำไมไม่ได้ เพราะแค่คนสองคนคอร์รัปชั่น เขาเอาอนาคตเด็กๆ ไป หรือความเป็นธรรมทางสังคม คนต่อคิวเยอะแยะ แต่เราฝากเพื่อนจ่าย เป็นการเอาเปรียบคนอื่น
ทำเพื่อส่วนรวม คือการแคร์ส่วนรวม เป็นความดีที่ใหญ่กว่าตัวเอง ไม่ใช่แค่ดีเฉพาะตัว แต่บางทีเรายอมเสียประโยชน์ เห็นขยะตกอยู่จะก้มลงเก็บ เสียอะไรบาง เสียฟอร์ม คือการเป็นคนดีมันมีต้นทุน แต่การทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมมีอะไรมากกว่าแค่ยกมืออาสา ตอนนี้สังคมไทยคุ้นกับคำว่าจิตอาสา ทำดีเพื่อคนอื่น ซึ่งดีมาก แต่มันต้องมีอะไรบางอย่างที่บอกว่าทำไมเราต้องเคารพกฎเกณฑ์กติกา เวลาเราไปเสียภาษี นอกจากทำตามกติกา ถ้าเรามีใจเพื่อส่วนรวม เราก็จะรู้ว่าต้องทำเพราะเงินภาษีเอาไปใช้จ่ายเพื่อส่วนรวม มันมากกว่าจิตอาสา
แต่ในแง่ของหลักวิชา การทำงานของการกระทำใดสักอย่างหนึ่ง เป็นผลของความรู้สึกตั้งแต่ความซื่อสัตย์ ขณะเดียวกันมันมีความรู้สึกว่าเราทำเพื่อส่วนรวม เราแฟร์กับคนอื่น แล้วแต่ว่าอะไรที่ส่งผลต่อสมองเรามากน้อยกว่ากัน แต่มันมีผลที่พฤติกรรมเดียวกัน ดังนั้น 5 ข้อนี้ไม่ได้แยกเด็ดขาดนะ แต่ทำงานร่วมกัน มันละเอียดอ่อนมาก จึงเรียกว่าคุณค่าหรือค่านิยม คนมักจะมองแยกว่าจากหนึ่งแล้วสอง ซึ่งไม่ใช่ พฤติกรรมเดียวกันมีผลจากทั้งห้าข้อ
ข้อสุดท้ายคือพอเพียง เบื้องต้นเลยคือไม่โลภ ยกตัวอย่างถ้าเราไม่อยากได้ไอแพดมาก เราก็ใช้ที่มีไปก่อน แต่ถ้าเกิดว่าอยาก มีคนมาเสนอ ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เซ็น มันมีงานวิจัยทางจิตวิทยานะ คนที่คอร์รัปชั่นทำไมเขาถึงกระทำได้ไม่รู้สึกผิด เหมือนคนไปปล้น ทั้งที่เป็นพฤติกรรมเดียวกัน แต่มูลค่าของคนที่ปล้นน้อยกว่าคนคอร์รัปชั่นอีก เพราะว่าเขาไม่ได้จับตัวเงิน มนุษย์ไม่รู้สึกว่าตัวเองเลว เพราะมันอยู่ไกล ถ้าเรารู้สึกพอเพียง เราก็จะไม่โลภ ไม่เป็นไร แค่นี้แหละ พอเพียงคือพอดีๆ แล้วประเด็นนี้เป็นลักษณะที่ต่างจากทุกประเทศที่ทำเรื่องการต่อต้าน คอร์รัปชั่นเลยนะ ถ้าเราคุมที่ใจ ตัวเราเองจะรู้ว่าจะใช้หรือไม่ใช้อะไร
พอเพียงมันหมายถึงสติด้วยนะ ยกตัวอย่างอาจารย์จุรีท่านพูดไว้ อย่างการเลือกตั้งเราไม่เลือกเพราะสะใจ พอเพียงหมายถึงหยุดแล้วคิด ถ้าฝึกกับเด็ก เด็กชอบกินขนม พอเพียงคืออะไร คุณก็หิว อาจารย์ก็แบ่งให้ด้วย นี่ก็พอ เพราะตอนนี้ยังไม่มีทั้งคู่ มันโยงไปถึงเรื่องการแบ่งปัน แต่ก่อนที่จะแบ่งปันได้มันต้องรู้จักอะไรในใจก่อน ในกรณีของการทุจริตคอร์รัปชั่นก็คือเรื่องของความพอดี ซึ่งไม่ได้มีสูตรสำเร็จ มันเป็นศิลปะการใช้ชีวิตในแต่ละคน ถ้าเราบ่มเพาะในเด็กเขาก็จะคิดออก
การแปรสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรม
เด็กต้องการข้อมูลอินพุท มาจากไหน มาจากพ่อแม่ โรงเรียน พอโตก็มาจากสังคม จากสื่อ การสอนให้รู้คิดต้องมาจากคนที่หวังดีต่อเขา 5 ข้อนี้ถือเป็นภูมิคุ้มกัน ถ้าเราสอนให้เขารู้จักความซื่อสัตย์ ความเป็นธรรม เมื่อเปรียบเทียบในทางกลับกัน ลูก ไม่ทำอย่างนี้ก็โง่สิ ไปเอามา แล้วเด็กคนนั้นจะโตขึ้นเป็นคนยังไง เมื่อเทียบกับ นี่ไม่ใช่ของเรา เอาไปคืน เด็กจำเป็นต้องได้รับการสั่งสอน ความเลวไม่ต้องสอน ในสัญชาติญาณมนุษย์ทำได้อยู่แล้ว หิวก็วิ่งหา แต่การแบ่งปันต้องสอน
ทีนี้ ข้อ 1 บอกแล้วว่าต้องสอน ยิ่งสอนแต่เด็กยิ่งดี
ข้อ 2 สอนอย่างไร ไม่ใช่การบอกหรือสั่ง แต่เริ่มจากการเป็นตัวอย่าง เป็นสิ่งที่เราบอกครู แต่จะมีวิธีถ่ายทอดที่เราออกแบบและคิดขึ้นมา เช่น เด็กถูกสั่งให้รู้ว่าต้องทำตามกฎของโรงเรียน แต่ไม่เคยรู้ว่าทำไปทำไม ในหลักสูตรโตไปไม่โกง ในชั้นเด็กอนุบาล เราทำเป็นอนุบาลวอล์คแรลลี่ ไปดูที่สนามเด็กเล่น ถ้าเด็กตัวใหญ่วิ่งเร็ว เด็กตัวเล็กไม่เคยได้เล่นกระดานลื่นทันหรอก ถ้ากติกาบอกว่าทุกคนต้องต่อแถว กฎนี้มีขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้เล่น เด็กก็จะเข้าใจ เราต้องตกลงกฎนะ มันดีกับทุกคน พอผ่านจุดนี้ก็ได้รับตราปั๊มเป็นรูปหมี ประทับลงไปในใจแล้ว
ด่านที่ 2 ไปโรงอาหาร ทำไมหนูต้องเก็บจานข้าว ก็เพราะว่าแมลงวันเยอะ ถ้าไม่เก็บจะลำบากคุณป้าล้างจาน เป็นโทษกับคนอื่น เป็นโทษต่อสังคมโดยรวม เกิดโรคระบาด คนจะมานั่งต่อก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราทำตัวเป็นประโยชน์ได้ด้วยการเป็นเด็กดี เด็กทุกคนอยากเป็นเด็กดีหมด เพราะเด็กดีคือการมีคุณค่า แล้วก็ประทับตราให้
เราจะไม่บอกว่าต้องเคารพสิทธิของคนอื่นโดยที่เขาไม่เข้าใจว่าคืออะไร กฎทุกกฎมีเพื่อประโยชน์อะไรบางอย่าง ถ้าเด็กเข้าใจก็จะปฏิบัติด้วยความสุขใจ เขาจะรู้ว่าทำไปเพราะอะไร จุดนี้เป็นเรื่องหนึ่งในเรื่องความเป็นธรรมคือการเคารพกฎเกณฑ์กติกา เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ให้ทำ
หรือการเล่านิทาน เช่น ขุนพลงักฮุยเก่งมาก ซื่อสัตย์ แต่สุดท้ายถูกขุนนางกังฉินสองผัวเมียกลั่นแกล้งกระทั่งฮ่องเต้สั่งประหาร ชีวิต แต่ประชาชนรัก กระทั่งความจริงปรากฏ สองคนนี้ถูกประหารชีวิต ชาวบ้านปั้นรูปปั้นสองคนนี้คุกเข่าร้องไห้อยู่หน้ารูปปั้นงักฮุย เพื่อระลึกถึงความชั่วของสองคนนี้ก็เอามาผูกติดกันเป็นปาท่องโก๋ เอามาทอด นี่คือตำนานปาท่องโก๋ มันมีที่มา เด็กๆ เขาจะจำได้ เขาจะไวต่อเรื่องความดี ความไม่ดีมากนะ
แล้วเราก็ออกแบบเพลงด้วยนะ ‘ทอด ทอด ทอด ทอด จับปาท่องโก๋ไปทอด มีคนขี้โกงสองคนจับมัดโยนลงกะทะทอด’มันคือการสอนให้คิดและตอกย้ำให้รังเกียจ ความชั่ว
มันดูอ้อมๆ นะ แต่มันเป็นการตอกย้ำ ค่อยๆ ใส่ เป็นการแปรจากนามธรรมเป็นรูปธรรม มันไม่ใช่พาเด็กไปศึกษากฎหมาย แต่เมื่อเด็กมีภูมิคุ้มกันแล้ว วันหนึ่งเขาได้เรียนกฎหมายเขาก็จะรู้ว่าเพราะอะไร
เราทำงานกับจิตใจและสอนให้เขารู้จักวิเคราะห์ในเด็กที่โตขึ้น แต่ต้องให้จิตใจเขาอ่อนโยนซึ่งเป็นหลักศาสนา คนที่จิตใจอ่อนโยน มันยากที่จะทำชั่ว เราออกแบบให้มันลง 5 สาระ แล้วไม่ใช่แค่นี้ ถ้าคุณเป็นหัวหน้าคุณต้องกล้ากว่าชาวบ้านด้วย อย่างเรามีนิทานเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของพญาวานรอยู่ในพระไตรปิฎก พญาวานรมีสมุน 84,000 ตัวอยู่ที่ต้นมะม่วง กระทั่งวันหนึ่งลูกมะม่วงตกน้ำไป ลอยไปทางปลายน้ำ เจ้าเมืองได้กิน อร่อยมาก ก็ตามหา เอาทหารมาล้อม พญาวานรจึงเอาตัวเองเป็นสะพานยึดกับต้นไม้อีกฝั่งแม่น้ำให้ลูกน้องตัวเอง ข้ามไป พอข้ามครบทุกตัว พญาวานรก็กระอักเลือดตาย นี่คือคุณธรรมของคนเป็นหัวหน้า กล้าหาญที่จะสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่หัวหน้าหนีก่อน
แต่แทนที่จะบอกนักเรียนตรงๆ มันยาก เราจึงต้องเล่าเป็นนิทาน สร้างบทสนทนากับเด็ก แล้วก็มีการตอกย้ำหัวตะปูหน่อย เช่น มีเพลง เจี๊ยกๆๆ เป็นเสียงเรียกของลิง หมายถึงอะไร ก็พญาวานร มันเป็นกระบวนการที่ทางวิชาการบอกว่าจะช่วยบ่มเพาะ เป็นการโปรแกรมให้เด็ก
หรือละคร การจะเล่นละครต้องท่องบทสนทนาบ่อยๆ อย่างของเด็ก เราทำละครเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ เด็กก็ท่อง ท่องแล้วก็เล่น เป็นการสะท้อนออกมาจากตัว อีกอันหนึ่งคือกิจกรรมและการเล่น เช่น เต่าทองอยากได้ของของตั๊กแตนก็เลยเอาไป ไม่มีใครเห็น ตั๊กแตนเสียใจร้องไห้ตลอดเวลา เด็กๆ ก็จะสงสาร ไปเอาของเขาทำไม ในเรื่องสุดท้ายแล้วเต่าทองก็เอาไปคืน แล้วเราก็ตอกย้ำด้วยเกม มันเป็นศาสตร์ในการสอน
แต่ว่าโลกภายนอกห้องเรียนก็ยังเต็มไปเรื่องราวของการทุจริต คอร์รัปชั่น ทั้งเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ พ่อแม่ยังฝากเด็กเข้าโรงเรียน ผู้ใหญ่ยังให้เงินตำรวจแลกกับการไม่ออกใบสั่ง
ถูก มนุษย์เหมือนฟองน้ำได้รับอิทธิพลจากสิ่งรอบตัว แต่ในฐานะที่เราทำงานด้านนี้ เราไม่ได้เป็นคนคุมทุกอย่าง เราทำได้ทางเดียวคือใส่อินพุทที่ถูกต้อง แล้วเราก็มีวิธีการสื่อสารกับพ่อแม่ ต้องมีส่วนช่วยลูก ให้พ่อแม่มาเข้าค่าย แล้วสำหรับสิ่งแวดล้อม เรากำหนดอะไรไม่ได้ เด็กต้องเจอ เราถึงต้องสร้างภูมิคุ้มกัน ทำ ดีกว่าไม่ทำ
ท่านอาจารย์จุรี (ดร.จุรี วิจิตรวาทการ ประธานศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคม นิด้า) บอกว่า เราต้องทำอะไรสักอย่าง ฉีดเมล็ดพันธุ์เข้าไปในใจ 50 คนในห้องอาจจะฝ่อสักครึ่งหนึ่งก็เป็นไปได้ แต่ถ้าไม่ทำล่ะ น่ากลัวนะ ก็ปล่อยตามบุญตามกรรม เราก็อาสา เราอยากทำ ยิ่งทำยิ่งสนุก ของพวกนี้เราก็มาเรียนรู้จากโครงการนี้เหมือนกัน ต้องไปศึกษาศิลปะ การใช้ศิลปะทำให้คนอ่อนโยน ดนตรี ร้องเพลงซ้ำๆ กัน มันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในใจได้ หรือเคยร้องเพลงนี้กับคุณครูคนนี้ จำได้ว่าคุณครูเคยเล่าอะไรให้ฟังบ้าง มันมีความทรงจำในสมัยเด็กที่เป็นปราการป้องกันความชั่วหลายอย่าง
การติดตามประเมินผล
การประเมินผลคือการประเมินภายในโรงเรียน ถามครู ครูก็บอกว่าเป็นหลักสูตรที่ง่าย ใช้ได้ แล้วเด็กพฤติกรรมเปลี่ยนมั้ย ครูบอกว่าเปลี่ยน เมื่อก่อนครูต้องปากเปียกปากแฉะบอกให้ส่งการบ้าน เดี๋ยวนี้วางเรียบร้อย เพราะเด็กรู้สึกว่าการไม่ส่งการบ้านเป็นสิ่งไม่ดี ครูบอกว่าพฤติกรรมเด็กในหลายๆ เรื่องเปลี่ยนแปลงกัน 80-90 เปอร์เซ็นต์ แต่ถามว่าแล้วยังไง มันจะเปลี่ยนแปลงประเทศเหรอ ไม่รู้ แต่ในหลักวิชามันบอกอยู่ว่า พฤติกรรมเปลี่ยนตอนนี้และถ้าสอนบ่อยๆ เด็กจะเป็นคนดีในอนาคต เด็กเขาพร้อมจะเป็นคนดี ถ้าเราใส่สิ่งที่ถูกต้อง คือเราไม่ต้องแนวมากหรอก ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ ดี-ชั่วตัดสินที่ไหน แล้วจะอยู่ร่วมกันได้ยังไงในสังคม เด็กรุ่นใหม่ชอบเป็นอย่างนี้
ด้วยปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง คนบางประเภทมักจะโยงเรื่องการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่นเข้ากับความขัดแย้ง ทางการเมือง โครงการนี้มีแรงเสียดทานบ้างหรือเปล่า
ไม่มี เราทำในสิ่งที่ดี การสอนเด็กให้เป็นคนดีมันเป็นสิ่งดี ใครที่ตั้งคำถามต้องทบทวนแล้วนะ เรากำลังสอนลูกหลานของพวกเราให้เป็นคนดี มันไม่ดีเหรอ แล้วงานนี้ก็ไม่มีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้องด้วย เราไม่ได้ไปเสี้ยมสอนให้เด็กต้องเป็นสีไหน
ขั้นตอนต่อไปหลังจากนี้
รุ่นแรกสอนไปเมื่อธันวาคม ตอนนี้กำลังแจกให้รุ่นสอง แล้วปีนี้คิดว่าจะสอนเต็มพื้นที่กรุงเทพมหานครสำหรับอนุบาล 1 ถึง ป.3 แล้วเราก็กำลังพัฒนาหลักสูตรสำหรับ ป.4-ป.6 .