วัฒนธรรมเล่าข่าว-ก๊อบปี้ข่าว โดย ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์
กลายเป็นคดีตัวอย่างในแวดวงข่าวโทรทัศน์ เมื่อ น.ส.อมรรัตน์ เข็มขาว ผู้สื่อข่าวอิสระที่ทำข่าวให้กับสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 และสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ประจำนราธิวาส แจ้งความต่อร้อยเวร สภ.เมืองนราธิวาสเพื่อให้ดำเนินการกับนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกร "เรื่องเล่าเช้านี้" ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ซึ่งนำภาพข่าว ด.ช.ฮาริส ดาแมลี เด็กทารกวัย 11 เดือน พิการไม่มีแขนและขา ที่ อ.บาเจาะ มานำเสนอผ่าน "เรื่องเล่าเช้านี้" โดยไม่ได้รับอนุญาต
น.ส.อมรรัตน์บอกว่า เดินทางบันทึกภาพมาด้วยความยากลำบากและไม่มีผู้สื่อข่าวของรายการดังกล่าวร่วมเดินทางไปด้วยแต่อย่างใด จากนั้นได้ส่งภาพข่าวผ่านทางอินเตอร์เน็ตให้กับสถานีโทรทัศน์ต้นสังกัด หาก (นายสรยุทธหรือสถานีโทรทัศน์ช่อง 3?) โทรศัพท์ติดต่อมาขอภาพกันดีๆ ก็จะไม่บ่นสักคำเดียว
ด้านนายสรยุทธชี้แจงผ่านรายการของตนเอง (ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือในบางช่วง) มีใจความสรุปว่า
1.ผู้สื่อข่าวภูมิภาคของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เป็นผู้ส่งเรื่องและภาพดังกล่าวมาที่ส่วนกลาง โดยไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้ถ่าย เนื่องจากแหล่งข่าวนำมาจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดนโยบายเปิดให้สื่อมวลชนสามารถนำข่าวไปใช้ได้เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์เรื่องราวภายในจังหวัด
2.เพื่อให้หน่วยงานของรัฐและประชาชนบริจาคเงิน ช่วยเหลือครอบครัว ด.ช.ฮาริส ดาแมลี
3.หากรู้ว่ามีปัญหาจะไม่นำเสนอภาพข่าวเป็นอันขาด ถ้า (เจ้าหน้าที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 3) มีการกระทำผิดจริง จะดำเนินการลงโทษตามกระบวนการ (น่าจะเป็นการลงโทษภายในองค์กร)
จากเท็จจริงข้างต้นยังไม่แน่ชัดว่า น.ส.อมรรัตน์ ต้องการให้พนักงานสอบสวนดำเนินการอย่างไรกับนายสรยุทธ และ/หรือสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 แต่ถ้าดูจากพฤติการณ์ในการเอาภาพข่าวซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของมาออกอากาศซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาตน่าจะเข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ที่ระบุว่า
การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานแพร่เสียงแพร่ภาพอันมีลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ.นี้โดยไม่ได้รับอนุญาต...ให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ถ้าได้กระทำดังต่อไปนี้ (มาตรา 29)
(1) จัดทำโสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง หรืองานแพร่เสียงแพร่ภาพ ทั้งนี้ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
(2) แพร่เสียงแพร่ภาพซ้ำ ทั้งนี้ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
ผู้ใดกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์..ตาม.. มาตรา 29 ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท
ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นการกระทำเพื่อการค้า ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 4 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 800,00 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 69)
จากบทบัญญัติดังกล่าว คนที่แพร่ภาพซ้ำหรือคนมีส่วนร่วมในการกระทำดังกล่าว น่าจะเข้าข่ายกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ส่วนจะเป็นใคร อย่างไร ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง
ข้ออ้างที่ว่า ทำไปเพราะสงสารเด็ก ไม่ทำให้พ้นความรับผิดเพราะต้องยอมรับว่า รายการเรื่องเล่าเช้านี้มีรายได้จากโฆษณานับล้านบาทต่อวัน ยิ่งข่าวที่สร้างความสะเทือนใจ ยิ่งออกอากาศนานเพราะเชื่อว่า เรตติ้งดี
เช่นเดียวกับข้ออ้างว่า ผู้ว่าฯมีนโยบายให้เอาข่าวไปเผยแพร่ก็ไม่อาจอ้างได้ เพราะผู้ว่าฯไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์
แต่คดีนี้ก็จบได้ไม่ยากเพราะเป็นคดีที่ยอมความได้ เพียงแต่สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ไปเจรจาตกลงจ่ายค่าละเมิดลิขสิทธิ์ให้แก่ ผู้สื่อข่าวรายดังกล่าว คดีก็น่าจะยุติ
เรื่องที่เกิดขึ้นจึงเป็นบทเรียนของสื่อมวลชนไทย ไม่ว่าโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์หรือเว็บไซต์ที่ไม่เคารพงานสร้างสรรค์ของผู้อื่น ชอบก๊อบปี้ภาพและข่าวโดยไม่ขออนุญาตหรืออ้างแหล่งที่มาซึ่งผลเสียที่ตามมามีมากมาย อาทิ เมื่อข่าวผิดก็จะผิดต่อๆ กันไปจนหาแหล่งหรือต้นตอไม่ได้
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะมีผู้สื่อข่าวหรือคนในแวดวงสื่อมวลชนจะลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตัวเองเหมือน น.ส.อมรรัตน์ หรือไม่ หรือคนในแวดวงสื่อมวลชนจะเคารพในความคิดสร้างสรรค์ผู้อื่นมากขึ้นหรือไม่
ความจริงแล้วรายการเล่าข่าวทางโทรทัศน์ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งแวดวงวิชาการและแวดวงวิชาชีพสื่อสารมวลชนมานานแล้วว่า มีการแสดงความคิดเห็นที่เกินเลยหรือเอาเรื่องส่วนตัวของพิธีกรมาพูดกันในรายการมากจนเกินพอดี เช่น ให้ความเห็นว่า ใครเสพยาบ้าซึ่งซุกซ่อนมาในช่องคลอดผู้หญิงซวยตายเลย พูดทำนองยุยงให้มีการรุมกระทืบผู้ต้องหาคดีข่มขืนเด็ก หรือตำรวจน่าจะทำวิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องหาที่ก่อคดีร้ายแรง
แต่ดูเหมือนว่า ผู้เกี่ยวข้องจะไม่สนใจเพราะเป็นช่องทางทำเงินและทำกำไรได้อย่างมหาศาล ทำให้สถานีทุกช่องหันมาทำรายการเล่า (การแสดง?) ข่าวกันเป็นบ้าเป็นหลัง
ที่มาภาพ :http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1309146370&grpid=&catid=02&subcatid=0200