ป.ป.ช.มีมติให้สอบปากคำ3ตุลาการคดีเปลี่ยนองค์คณะศาล ปค.สูงสุดกรณีปราสาทพระวิหาร
หลังจากยืดเยื้อมานานกว่า 8 เดือน ในการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)วันที่ 2 สิงหาคม 2554 ที่ประชุมมีมติให้สำนักงาน ป.ป.ช.ไปสอบปากคำตุลาการศาลปกครองสูงสุด 3 คนประกอบด้วย นายชาญชัย แสวงศักดิ์ นายวราวุธ ศิริยุทธ์วัฒนา และนายธงชัย ลำดับวงศ์กรณีที่มีการร้องเรียนว่า อดีตผู้บริหารศาลปกครองสูงสุดและพวกปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ใน 2 กรณีคือ
หนึ่ง กรณีถูกกล่าว หาว่า ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบในการเปลี่ยนองค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดในการ พิจารณาคดีมิให้นำมติ ครม.นายสมัคร สุนทรเวช เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 ซึ่งสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไปดำเนินการใดๆ
สอง กรณีถูกกล่าวหา ใช้อำนาจโดยมิชอบในการส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มาตรา 16 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือ ไม่
หลังจากสอบปากคำแล้วให้นำเข้าพิจารณาในคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณาว่า จะตั้งอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวนคดีดังกล่าวหรือไม่
(คลิกดู ป.ป.ช.หงอศาลปกครองสูงสุด ดองคดีแทรกกระบวนการยุติธรรม)
ทั้งสองกรณีดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553 ให้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไว้ไต่สวน
แต่ ดร.หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุดโต้แย้งโดยอ้างว่า คณะ กรรมการ ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจในการตรวจสอบกรณีดังกล่าวเพราะเป็นการแทรกแซงการทำงานของ ฝ่ายตุลาการและไม่ยอมให้สำนักงานศาลปกครองส่งข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ให้แก่คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ดังนั้น เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติให้เลขาธิการ ป.ป.ช.ทำหนังสือสอบถามข้อมูลข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากสำนักงานศาลปกครอง นอกจาก ดร.หัสวุฒิจะไม่ยอมให้สำนักงานศาลปกครองส่งข้อมูลข้อเท็จจริงให้แก่คณะ กรรมการ ป.ป.ช.แล้ว ยังนำเรื่องเข้าพิจารณาในคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง(ก.ศป.)หลายครั้งและมี มติให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง มีนายวิชัย ชื่นชมพูนุท รองประธานศาลปกครองสูงสุดเป็นประธาน
จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ คณะกรรมการฯชุดนายวิชัยได้สรุปข้อเท็จจริงทั้งสองกรณีว่า ไม่ มีมูลและแจ้งเรื่องให้แก่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทราบโดยอ้างว่า ในคดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งเดิมมีการจ่ายสำนวนให้แก่องค์คณะที่มี นายจรัญ หัตถกรรม เป็นหัวหน้าองค์คณะและตุลาการเจ้าของสำนวนได้สละสำนวนก่อนที่องค์คณะจะมีมติว่า จะมีคำสั่งหรือมาตรการคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่ จากนั้นจึงมีการเปลี่ยนให้องค์คณะที่มีนายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุดในขณะนั้นเป็นหัวหน้าคณะพิจารณาแทน
ประเด็นที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ต้องพิจารณาว่าจะแต่งตั้งอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวนหรือไม่ได้แก่
หนึ่ง ในการสอบสวนข้อเท็จจริงของศาลปกครองที่มีนายวิชัย ชื่นชมพูนุท รองประธานศาลปกครองสูงสุดเป็นประธาน มิได้มีการสอบปากคำ นายชาญชัย แสวงศักดิ์ นายวราวุธ ศิริยุทธ์วัฒนา และนายธงชัย ลำดับวงศ์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุดซึ่งถูกระบุว่า เป็นเสียงข้างมากที่เห็นว่า ไม่ควรรับคดีปราสาทกระวิหารไว้พิจารณาเลย ขณะที่เสียงข้างน้อยประกอบด้วย นายจรัญ หัตถกรรม กับนายเกษม คมสัตย์ธรรม
เจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช.จึงเสนอความเห็นว่า ควรมีการสอบปากคำตุลาการเสียงข้ามมากทั้งสามคนก่อนนำเสนอเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณา แต่นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช.ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องนี้ให้นำเข้าพิจารณาในคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก่อน
สอง แม้จะมีการอ้างว่า นายจรัญ หัตถกรรม หัวหน้าคณะและเจ้าของสำนวนสละสำนวนก่อนจะลงมติก็ต้องพิจารณาว่า เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดหรือไม่เพราะองค์คณะมีการพิจารณาคดีนี้ไปแล้ว การสละสำนวนจึงไม่สามารถทำได้ตามอำเภอใจเนื่องจากมีผลต่อความเป็นอิสระของตุลาการ เพราะถ้าผู้จ่ายสำนวนสามารถเลือกได้ว่า จะจ่ายสำนวนให้องค์คณะใดได้ตามอำเภอใจ อาจจะทำให้เกิดกรวิ่งเต้นหรือทำให้การพิพากษาคดีเป็นไปตามที่ผุ้จ่ายสำนวน ต้องการได้
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ (มาตรา 56) จึงวางหลักเกณฑ์ไว้ว่า ต้องจ่ายสำนวนตามความเชี่ยวชาญขององค์คณะ และ/หรือแบ่งตามพื้นที่ความรับผิดชอบขององค์คณะ และ/หรือ จ่ายสำนวนโดยไม่อาจคาดหมายได้ล่วงหน้า (ต้องสร้างระบบรองรับ)
เมื่อจ่ายสำนวนแล้ว ห้ามเรียกคืนหรือโอนสำนวน เว้นแต่ทำตาม
1.ตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด เช่น เมื่อปรากฏเหตุใดๆ ที่กระทบกระเทือนต่อความยุติธรรม
2.เมื่อตุลาการหรือองค์คณะถูกคัดค้าน
3.เมื่อตุลาการหรือองค์คณะ มีคดีค้างจำนวนมาก อาจทำให้การพิจารณาคดีล่าช้า(ตุลาการศาลปกครองสูงสุดมีคดีล้นมือทุกคน เหตุผลนี้จึงไม่น่าใช้ข้อที่อาจนำมาอ้างได้)
ดังนั้น คำถามที่เกิดขึ้นคือ นายจรัญใช้ข้ออ้างมีคดีค้างจนล้นมือก็ควรสละสำนวนตั้งแต่ได้รับคดีมาแต่แรก ไม่ใช่ส่งคืนหลังจากเห็นแนวโน้มว่าจะแพ้เสียงในองค์คณะหรือมีการพิจารณาคดีไปแล้ว?
นอกจากนั้น ก่อนสละสำนวนต้องนำเรื่องเข้าพิจารณาในองค์คณะหรือไม่?
คดีดังกล่าว ถ้ามีการใช้อำนาจหน้าที่ในการเปลี่ยนองค์คณะตุลการโดยมิชอบด้วยกฎหมายจริงเท่ากับเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรงเพราะเป็นการแทรกแซงจากผู้บริหารศาลหรือจากภายในกันเอง ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบหรือตรวจสอบได้ยาก
ดังนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช.ต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ตรงไปตรงมา เพื่อธำรงไว้ซึ่งความศรัทธาต่อระบบศาล
ตรงกันข้ามถ้ามีการช่วยเหลือเพราะผู้ถูกร้องเรียนเคยมีตำแหน่งใหญ่โตหรือมีความสัมพันธ์ส่วนตัวแล้ว
เท่ากับร่วมมือกันทำลายระบบศาลให้สาธารณชนสิ้นศรัทธา