ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ “ความท้าทายในการมุ่งสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน”
วันที่ 30 สิงหาคม ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ปาฐกถาพิเศษ ในงานสัมมนา “ประชาคมอาเซียน : มิติใหม่แห่งอาเซียน” ที่จัดโดยคณะกรรมาธิการต่างประเทศ วุฒิสภา และสถาบันพระปกเกล้า จัด ณ ห้องปิ่นเกล้า 2 รร.เดอะรอยัล ซิตี้ ถ.บรมราชชนนี กรุงเทพฯ
ดร.สุรินทร์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ประชมคมอาเซียนเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่คนไทยยังรู้สึกว่าจับต้องยาก ไม่แจ่มชัดนัก คนไทยรู้จักและคุ้นเคยกับคำว่า อาเซียน (ASEAN) แต่เข้าใจความหมายไปในทางแฟชั่น แต่ไม่เข้าใจลึกไปกว่านั้น ว่า ประชาคมอาเซียน คือ กระบวนการที่จะสร้างอำนาจในการต่อรองให้กับประเทศสมาชิกทั้ง 10 ประเทศ เพราะโลกยุคโลกาภิวัฒน์เป็นโลกที่ไร้พรมแดน เป็นโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน จำเป็นจะต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว ปรับกระบวนการบริหารจัดการ การเรียนรู้ เพื่อเพิ่มพูนความสามารถในการที่จะแข่งขัน ในภาวะที่โลกไร้พรมแดน หรือโลกแบน ในลักษณะที่เป็นพื้นที่ราบ ไม่มีรั้ว ไม่มีกำแพง
“กว่าจะถึงการเปิดประชาคมอาเซียนอย่างเป็นทางการในปี 2558 มีหลายประเด็นที่ไทยต้องปรับ เช่น ให้ระบบเศรษฐกิจของเราเปิดเข้าหากันจริงๆ ต้องออกไปแสวงหาโอกาสนอกประเทศ ในพื้นที่ 10 ประเทศสมาชิกอย่างจริงจัง ก่อนที่ตลาดนานาประเทศจะเต็มกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ บุคคลากรของเราจะต้องเก่งจริงในการจะจะออกไปแข่งขันในพื้นที่ของอาเซียนได้”
เลขาธิการอาเซียน กล่าวว่า กฎบัตรอาเซียน คือ มิติใหม่ของภูมิภาคนี้ ที่ตั้งอยู่บน 3 เสาหลัก คือ 1.ประชาคมความมั่งคงอาเซียน (ASEAN Security Community-ASC) ต้องระมัดระวัง เช่นในตัวอย่าง ประเด็นเขาพระวิหาร 2 ประเทศทะเลาะกันเรื่องโบราณสถานฮินดู แล้วจะให้รัฐมนตรีต่างประเทศของอินโดนิเซียซึ่งเป็นมุสลิมมาช่วย เป็นเรื่องไม่ง่าย
“หากเป็นผมจะปล่อยให้เป็นเรื่องเทคนิค วิชาเทคนิคแผนที่ ที่มีการบันทึกท้ายสัญญาอยู่แล้ว ต้องทำใจว่าเป็นเรื่องเทคนิคและลดความเป็นการเมืองลง ใครก็ตามที่เอาความเป็นชาตินิยมมาเล่น จะควบคุมยาก เอากระแสและชาวบ้านลงไม่ได้ ประเด็นนี้สำคัญที่สุด คือ ต้องไม่ทำให้เป็นเรื่องการเมือง”
2.ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community-AEC) ที่เราจะได้ยินบ่อย ว่ากระทบต่อประชาชน การเงิน ฐานะทางเศรษฐกิจ ฐานะทางอาชีพ การค้า การผลิตและการจ้างงาน จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจ แต่ที่ผ่านมาผู้นำไทยตั้งสติได้ดีมากเกี่ยวกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนว่าอย่างไรก็ต้องเปิด และก็หวังว่ารัฐบาลนี้จะตั้งสติได้ ไม่อย่างนั้น WTO หรือ Globalization จะเปิดแทน เพราะไม่มีใครห้ามการเคลื่อนย้ายการผลิตตามต้นทุนได้ เป็นเหตุผลและกลไกของตลาดที่เปิดกว้างขึ้น จะปิดกั้นไม่ให้คนอื่นเข้ามาเป็นไปไม่ได้
“ที่ผ่านมาภาคเอกชนแข็งแกร่ง มีการส่งออกเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลไม่ได้ยื่นมือมาช่วยเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามภาคเอกชนก็ยังต้องพัฒนากระบวนการผลิต มีการค้นคว้าวิจัย เพิ่มเทคโนโลยี การลงทุน พัฒนาบุคคลและพัฒนาการบริหารจัดการ เพื่อให้เอื้อต่อการทำงานและค้นคว้าวิจัยและแข่งขันอยู่ในตลาดได้นาน เราจะพอใจแค่ว่าภาคเอกชนแข็งแกร่ง หรือมีการส่งออกเพิ่มนั้นไม่พอ ในยุคโลกาภิวัฒน์ทุกเศรษฐกิจต้องออกไปโตนอกประเทศ ขาย ลงทุนและแสวงหาตลาดเพิ่ม ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงพาณิชย์ที่จะออกไปเจรจา เป็นหัวหอกและผลักดัน”
3.ประชาสังคม-วัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socail-Cultural Community-ASCC) ต้องรู้จัก เข้าใจมากกว่านี้ การกีฬา สาธารณสุข การศึกษา วัฒนธรรม ศิลปะ สิ่งแวดล้อม เหล่านี้จะสร้างความเป็นอัตลักษณ์ของอาเซียนให้เกิดขึ้น ให้เห็นประโยชน์ เห็นวิสัยทัศน์ของอาเซียน ยอมรับในความจำเป็นที่จะสร้างประชาคมอาเซียน เพราะอนาคตลูกหลานขึ้นอยู่กับประชาคมอาเซียน
ขณะนี้มีการตกลงกัน 8 สาขาวิชาชีพที่จะไหลระหว่างกันได้ คือ 1.แพทย์ 2.ทันตแพทย์ 3.พยาบาล 4.วิศวกร 5.สถาปนิก 6.นักบัญชี 7.กิจการสปา 8.โรงแรม รวมทั้งอาชีพเจ้าหน้าที่เทคนิคตรวจสอบสิ่งของที่จะออกจาท่าขนส่ง แต่จะไม่ใช้คำว่า “ไหลฟรีระหว่างประชากรของอาเซียน” ถ้าใช้คำนั้นประเทศไทยจม เพราะขณะนี้มีแรงงานต่างชาติอยู่แล้วกว่า 3 ล้านกว่าคนที่เข้ามาทำงานอยู่ในประเทศไทย
ดังที่กล่าวมานี้ เกิดเป็นคำถามว่า เราพร้อมหรือยัง ที่จะเป็น “ประชาคมอาเซียน” ที่ไม่ใช่แค่ “สมาคมอาเซียน” ต้องรู้สึกว่ามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งสมาชิกทุกประเทศ ต่อจากนี้ทุกสถานทูตใน 10 ประเทศสมาชิกต้องเชิญธงอาเซียนขึ้นคู่กับธงชาติของตนเอง หากเราไปประเทศไหนที่แม้จะไม่มีสถานทูต ก็สามารถใช้บริการได้ เช่น การอำนวยความสะดวก ภัยพิบัติความขัดแย้ง ความรุนแรงก็สามารถเข้าไปขอความช่วยเหลือสถานทูตสมาคมอาเซียนได้
ท้ายที่สุดจะกลับมาอยู่ที่ “คุณภาพของคน” ที่จะเข้าไปในประชาคมอาเซียน ถ้าเตรียมผลิตคนไม่ดี ก็สู้เขาไม่ได้ เพราะทุกประเทศต่างเปิดเสรีให้กัน ถ้าลูกหลานคิดถึงอนาคตที่จะเคลื่อนไหวได้ทั่วอาเซียน ไม่ว่าจะด้านสาขาอาชีพใด ต้องเก่งจริง มีคุณภาพจริง ไม่อย่างนั้นจะแข่งขันในอาเซียนไม่ได้
“ต้องตั้งคำถามว่า สถาบันการศึกษามีความพร้อมและมั่นใจหรือยังว่าจะสามารถผลิตบุคคลากรออกมาเพื่อสอดรับกับตลาดอาเซียน เพราะถ้าแข่งขันในอาเซียนได้ ก็จะแข่งขันในตลาดโลกได้
นี่คือการเตรียมการเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อรับโลกยุคโลกาภิวัฒน์ จุดเริ่มต้นแรกที่ต้องเร่งพัฒนา คือ ความรู้เรื่องภาษาและการบูรณาการเข้าหากัน จะเป็นการเปิดโอกาสให้ประกอบอาชีพอย่างมีศักดิ์ศรีและมีเกียรติ”
ในด้านภาษา เราต้องเร่งพัฒนาการใช้ ไม่ควรมีความภูมิใจในเรื่องแปลกๆ ว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใคร อย่าให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษของเรามากนัก หรือคิดว่าการพูดภาษาต่างชาติจะเป็นการไม่อนุรักษ์หรือไม่ภูมิใจในภาษาไทย เพราะเป็นข้อแก้ตัว ไม่ใช่เหตุผลที่ฟังขึ้น ในประชาคมอาเซียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้แลกเปลี่ยน เราต้องไปต่อสู้กับนานาประเทศ เป็นผลประโยชน์ของเราที่ต้องริเริ่ม ตั้งแต่นี้ไปทุกหน่วยงานและทุกผู้นำของหน่วยงานต้องคิดถึงเวทีที่กว้างกว่า 64 ล้านคน และพัฒนาการสื่อสารด้วยภาษาอื่นๆ ในระดับที่สามารถเจรจา หรือโน้มน้าวได้
ในฐานะที่ทำงานเป็นเลขาธิการอาเซียนมา 3 ปี พบว่าทำงานกับประเทศไทยเหนื่อยและตกลงกันภายในประเทศนานที่สุดเราให้สัตยาบันเป็นประเทศสุดท้ายตลอด ทุกฝ่ายอยากรู้ความเป็นไป ก็เป็นกระบวนการทางประชาธิปไตยที่ไม่ผิด แต่ก็ทำให้เราต้องใช้เวลานานในการทำข้อตกลง หรือตัดสินใจ ทั้งนี้ มีอุปสรรคหนึ่งที่มัดมือ มัดแขนการทำความตกลงกันในอาเซียนของประเทศไทยตลอดมา คือ มาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ
“ทุกครั้งที่มีการประชุม หรือออกแถลงการณ์ ไทยจะรับหรือทำความตกลงเลยไม่ได้ ต้องกลับไปปรึกษารัฐสภาก่อนตัดสินใจ ซึ่งกินเวลาหลายเดือน ในอดีตมาตรา 190 ระบุไว้ 3 เรื่อง คือ เขตแดนเปลี่ยนไปต้องต้องเข้าสภา เขตอำนาจรัฐเปลี่ยนไปต้องเข้าสภา การตกลงที่ต้องแก้กฎหมายภายในต้องเข้าสภา แต่ในเรื่องประชาคมอาเซียนเราเขียนไปว่า อะไรก็ตามที่มีผลกระทบมีนัยยะสำคัญต่อประชาชน ต้องไต่สวนและเข้าสภา ประเด็นนี้ต้องขอฝากไว้ให้ช่วยปลดล็อคออกให้ได้ ให้กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์มีพื้นที่มากขึ้นที่จะออกไปนำเสนอ ปกป้องและเจรจา”
การระบุว่า ประเด็นใดก็ตามที่มีผลกระทบมีนัยยะสำคัญต่อประชาชน ต้องไต่สวนและเข้าสภานั้น ส่งผลทำให้ไทยเป็นเหมือนผู้ริเริ่มอาเซียน ต้องการได้ประโยชน์จากอาเซียน แต่ไม่สามารถตัดสินใจหรือตกลงได้เลย ทั้งที่สามารถทำได้ ไม่ใช่เรื่องยาก กลับต้องมาสะดุดกับการตีความข้อความในมาตรา 190 ซึ่งตีความได้กว้างมาก
การเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในขณะนี้ ต้องเร่งเตรียมคน เตรียมบุคลากรและเตรียมทรัพยากรให้ดี เพราะโลกไม่รอ จะใช้เกียร์ว่าง เกียร์สอง เกียร์สามไม่ได้ ขณะนี้เป็นถนนสี่เลนไปเร็ว ไม่มีใครรอเรา อุปสรรคในการสร้างประชาคมอาเซียนคือความแตกต่างหลากหลายของแต่ละประเทศ แต่ก็คาดว่าภายใน 2558 จะเปิดประชาคมและดำเนินตามแผนทั้ง 3 เสาหลักได้ทันแน่นอน
ประชาคมอาเซียนจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อคนทั้งหมดตื่นตัว แต่ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าจะให้คนมีส่วนร่วมผู้นำต้องรู้สึกและมีส่วนร่วมด้วย ไม่ใช่ให้แค่ปาก ในการเลือกตั้งควรจะมีในนโยบายพรรคการเมืองด้วยซ้ำ แต่พบว่าพรรคใหญ่ 2-3 พรรคไม่มีอยู่ในนโยบายเลย ทั้งนี้ รวมถึงให้ประชาชน พ่อแม่ ผู้ปกครอง เด็ก สื่อมวลชนและภาคประชาสังคมเข้าใจและรู้สึกได้แรงบันดาลใจในวิสัยทัศน์ของอาเซียน ต้องถามผู้นำ ส.ส. วุฒิสมาชิกว่าทำอะไรไปมากน้อยแค่ไหน ทำไมเราไม่ได้ ไม่ร่วมกับอาเซียนมากกว่านี้ ที่มีผลให้การเปิดประชาคมอาเซียนไม่สมบูรณ์
ตลอดการทำงานเลขาธิการอาเซียน หากถามว่าอยากเห็นอะไรเป็นมรดก ผมอยากให้อาเซียนเป็นคำที่ทุกคนรู้จักและรู้ความหมายเบื้องหลังของตัวอักษร “ASEAN” ที่หมายถึงวิสัยทัศน์ โอกาส การลงทุน การค้า คุณภาพชีวิต กำลังซื้อที่จะต้องเพิ่มขึ้น ตลาดแรงงานที่จะอิสระขึ้น ชนชั้นกลางที่ขยายตัวมากขึ้น แต่ก็เต็มไปด้วยการแข่งขัน ความท้าทาย อุปสรรคที่ต้องปรับแก้และตัดสินใจเลือกทางเดินให้ถูก