เงิน...เงิน...เงิน (พิเศษ) : ค่าเงินบาท อ่อนดี...หรือ...แข็งดี
ในช่วงนี้ สิ่งที่ผู้อ่านสนใจ อาจเป็นประเด็นร้อนว่าด้วยเรื่องการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย มียอดขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนสูง เป็นยอดนับ 4.3 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการขาดทุนอัตราจากดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน 1.17 ล้านบาท และขาดทุนจากการตีราคาหลักทรัพย์ 2.6 แสนล้านบาท
ไม่ว่าใครจะว่าเราบริหารกองทุนสำรองระหว่างประเทศดีหรือเลวร้ายเพียงใด เราต้องเข้าใจภาพรวมคร่าวๆให้สบายใจก่อนว่า ฐานะกองทุนอัตราแลกเปลี่ยนของเราปัจจุบันนี้ สูงถึงประมาณ 1.9 แสนล้านดอลลาร์
สูงมากเมื่อเทียบกับยุควิกฤต 2540 ช่วงปลายรัฐบาลชวลิต (นายกฯ) และ พ.ต.ท. ทักษิณ (รองนายกฯ) ซึ่งมีทุนสำรองระหว่างประเทศเหลือเพียงยอดสุทธิ 7 พันล้านเหรียญ จนต้องนำประเทศเข้ารับการช่วยเหลือจากไอเอ็มเอฟ
สูงมากเป็นอันดับ 12 ของโลก โดยอันดับ 1-12 คือ จีน, ญี่ปุ่น, รัสเซีย, ซาอุดิอาราเบีย, ไต้หวัน, บราซิล, อินเดีย, เกาหลีใต้, สวิสเซอร์แลนด์, สิงคโปร์, เยอรมัน แล้วก็ ไทย ตามลำดับ
ไทยเรายังมีทุนสำรองมากกว่าฝรั่งเศส, อิตาลี,สหรัฐอเมริกา และ สหราชอาณาจักร (อังกฤษ) อีกด้วย
การสะสมจำนวนมากนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการส่งออกที่ดีมากอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการสะสมทุนสำรองเพิ่มขึ้นๆ
อีกส่วนหนึ่งคือ “นโยบาย” ที่ต้องการช่วยปกป้องไม่ให้ค่าเงิน “แข็ง” เกินไป
ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อเสมอว่า ค่าเงินชาติใดๆแข็ง ก็สะท้อนว่า “โลก” ให้ค่าของเงินประเทศนั้นมากขึ้น ดังจะเห็นได้ว่า ค่าเงินของประเทศที่อย่างจีน หรือไทย แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ ในแถบนี้ ก็มีค่าเงินดองของเวียดนามที่ยังอ่อนค่าลงมารุนแรง ถามว่า ประเทศใดมีเศรษฐกิจแข็งแกร่งกว่ากัน ก็ตอบได้ทุกคนว่า จีนกับไทยแข็งแกร่ง ส่วนเวียดนามมีปัญหา
ค่าเงินแข็งดี ที่ทำให้ประชาชนเติมน้ำมันถูกลง ซื้อสินค้าที่เป็นโภคภัณฑ์ได้ถูกลง ในโลกที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อน ราคาโภคภัณฑ์แพงขึ้นอย่างมากทั่วโลก ทั้งทองคำ, น้ำมัน ฯลฯ เป็นสัญญาณชัดเจน ในช่วงที่ผ่านมา เราบ่นกันว่าของแพง เรามีอัตราเงินเฟ้อประมาณ 4% จีนมีอัตราเงินเฟ้อ 5.5% และเวียดนามมีอัตราเงินเฟ้อกว่า 12% !
ค่าเงินแข็งดี ที่ทำให้กิจการที่มีหนี้ดอลลาร์ (เช่น เกิดจากการนำเข้าเครื่องจักร หรือ โรงงานต่างๆ) มีภาระหนี้น้อยลงหรือไม่เพิ่มขึ้น ในยุควิกฤตนั้น มีกิจการไทยไม่น้อยนำเข้าเครื่องจักร โรงไฟฟ้า ฯลฯ และมีหนี้ดอลลาร์จำนวนมาก (เพราะเงินกู้สุกลบาทมีไม่พอ) ผลทำให้กิจการจำนวนมากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนมหาศาล จนอยู่ไม่ได้มากมาย
ถ้าถามคนไทยทั่วประเทศ มีค่าเงินดอลลาร์ละประมาณ 30 บาทอย่างนี้ดี หรือ 42 บาทดี ผมว่า แทบทุกคนจะตอบเหมือนกันว่า 30 บาทอย่างนี้ได้ก็ดีแล้ว นึกถึงน้ำมัน โดยราคาตลาดโลกเหมือนกัน ถ้าเติมน้ำมันขณะนี้สักลิตรละ 30 บาท หากอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนจาก 30 บาทเป็น 42 บาท เราก็ต้องเติมกันที่ลิตรละ 42 บาทเหมือนกันทันที !
แต่ถ้าเช่นนั้น ทำไมเราต้องมีนโยบายต้องการให้ค่าเงินอ่อน หรือแข็งช้า ?
ดังที่นักวิชาการระดับดอกเตอร์บางท่าน เคยให้ความเห็นในช่วงหนึ่งว่า อยากเห็นค่าเงินที่ 32 บาท/ดอลลาร์
ผมก็ไม่เห็นด้วย เพราะเรื่องค่าเงิน ไม่ควรมีใคร “มีอำนาจแทรกแซง” เพราะอาจมีการเอาประโยชน์จากข้อมูลภายใน และอาจทำให้ประเทศต้องขาดทุนมากมาย คล้ายๆที่อาจเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งดังกล่าวได้
แต่ก็เห็นประเด็นที่กล่าวอ้างว่า ค่าเงินที่อ่อนนั้น ช่วยให้สินค้าไทยถูก น่าซื้อ ส่งออกได้ง่ายขึ้น คนส่งออกได้เงินบาทต่อดอลลาร์มากขึ้น สินค้าเกษตรขายได้เงินบาทมากขึ้น...เพียงแต่ว่าค่าเงินบาทที่ได้มีค่าเล็กลง คนไทย “ทุกคน” ลำบากขึ้น เติมน้ำมันแพงขึ้นดังกล่าว
การจัดการในเรื่องนี้ จึงต้องมีสมดุลที่ดี เป้าหมายสำคัญเป้าหมายแรกคือ “เสถียรภาพ” เพราะอาจมีแรงมาทำให้ค่าเงินผันผวน เอกชนผู้ส่งออกส่วนใหญ่ เก่งพอที่จะยอมรับได้ แม้ค่าเงินแข็งขึ้นเรื่อยๆ แต่ “อย่าแกว่ง” มาก การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องเข้าไปช่วยแทรกแซง (น้อยๆ) เพื่อให้การแกว่ง การกระเพื่อมไม่รุนแรงก็ต้องมีต้นทุนบ้าง
อีกวัตถุประสงค์ คือ ต้องให้ค่าเงิน “อ่อนพอ” ที่จะแข่งขันได้
มีแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกาต่อจีนเพื่อให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าสู่อัตราที่เหมาะสม เพราะเชื่อว่าค่าเงินหยวน “อ่อน” เกินเหตุ ทำให้สินค้าจีนถูกเกินเหตุ และส่งออกได้มากเกินเหตุ แต่จีนก็ยังทำให้ค่าเงินอ่อน ยอมคิดค่าแรงน้อยหน่อยเป็นสกุลเงินดอลลาร์ แต่ขอให้ค้าขายดี ส่งออกดี คนจีนมีงานทำดีกว่า
วิธีการทำให้หยวนอ่อน ก็คือ “ขายหยวน” = “ซื้อดอลลาร์” จึงทำให้ทุนสำรองของจีนสูงสุดในประวัติศาสตร์โลก คือ กว่า 3 ล้านล้านเหรียญ หากใครไปดู ก็คงขาดทุนเช่นกันเมื่อดอลลาร์อ่อนลง หยวนแข็งขึ้น ถ้าค่าเงินหยวนแข็งขึ้น 10% (คนจีนมีเงินที่มีค่ามากขึ้น) เขาจะขาดทุนจากการประเมินค่าถึง 3 แสนล้านเหรียญ คือ 10 ล้านล้านบาท (เท่านั้น !!!)
เมื่อจีนใช้กลยุทธกดค่าเงินหยวน โดยซื้อดอลลาร์ ไทยก็ต้องทำเช่นกัน หรือจะปล่อยให้ไทยส่งออกแข่งขันกับจีนไม่ได้ ? หรือจะปล่อยให้สินค้าเกษตรขายราคาดีไม่ได้ ? เมื่อเราต้องสะสมดอลลาร์ ขายบาทไปด้วยเพื่อให้ค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่แข่งขันกับต่างประเทศได้ ก็ต้องมีขาดทุนเช่นกัน
ทุนสำรองนั้น จึงไม่ต้องตีค่ากลับเป็นสกุลในประเทศ เพราะสับสน ค่าเงินแข็ง ซึ่งแสดงว่า เงินมีค่ามากขึ้น ทำให้ “ทางบัญชี” กองทุนสำรองจะขาดทุน ค่าเงินอ่อน เงินมีค่าน้อยลง (ไทยเกือบถึงวิบัติตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง) ทำให้ “ทางบัญชี” กองทุนสำรองกำไร ทำให้รู้สึกสับสนได้
ถ้าเราไม่คิดว่า ค่าเงินกลับไปที่ 40-42 บาทเป็นเรื่องดี ค่าเงินที่แข็งขึ้น คนไทยก็ได้ประโยชน์ทุกคน ดังนั้น การขาดทุน “ทางบัญชี” จากการที่ค่าเงินแข็งขึ้นนั้น ไม่ควรทำให้คนไทยรู้สึกไม่ดีแต่อย่างใด เพราะคนไทยได้ประโยชน์กันทุกคน และเงินที่มีมีค่ามากขึ้นเมื่อวัดด้วยมาตรฐานสากล
บทความต่อไป ผมจะกลับไปถ่ายทอดคำเทศนาเรื่อง “เงิน เงิน เงิน” ต่อไปนะครับ
อ่านประกอบ : เงิน...เงิน...เงิน