นโยบาย“อัปยศ”ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2554 ให้หน่วยราชการต่างๆปรับลดงบประมาณประจำปี 2555 ในส่วนของงบประมาณพื้นฐาน งบฯดำเนินงานและงบฯลงทุนในรายการที่ไม่จำเป็นลงกระทรวงละไม่ต่ำกว่า 10% เพื่อนำมารวมเป็นงบฯในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ประมาณ 80,000 ล้านบาท และยังให้หน่วยราชการต่างๆกำหนดวงเงินก่อหนี้ผูกพันให้อยู่ในอัตราไม่เกิน 15% จาก20%ในช่วงที่ผ่านมาเพื่อจะได้มีเม็ดเงินเหลือในการแก้ไขปัญหาเดียวกัน
การที่รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเนื่องจากสภาพน้ำท่วมที่เกิดขึ้นครั้งนี้รุนแรง เป็นประวัติการณ์ สร้างความเสียหายในทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างประเมินค่าไม่ได้ คาดว่า ต้องใช้งบประมาณในการฟื้นฟูเยียวยาหลายแสนล้านบาท
แต่ที่ผ่านมารัฐบาลมิได้มีการเตรียมพร้อมในการหางบประมาณจากแหล่งต่างๆ ไว้โดยเฉพาะการหารายได้เข้ารัฐหรือประหยัดงบประมาณสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน จำเป็นตามคำเตือนของฝ่ายต่างๆโดยเฉพาะนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงที่ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่กำลังเพิ่ม ความไม่แน่นอนมากขึ้นเรื่อยๆ
นายประสารได้เตือนว่า แนวนโยบายการคลัง ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ภาครัฐควรเตรียม ‘กระสุน’ ไว้ให้พร้อมในยามจำเป็น หากต้องกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต จะต้องมีความรอบคอบและระมัดระวัง ภาครัฐไม่ควรใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยไม่จำเป็น… เพื่อเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามจำเป็นจริงๆ”(ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ทิศทางเศรษฐกิจปี 2555” วันที่ 5 กันยายน 2554)
ตรงกันข้ามที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามเร่งผลักดันนโยบายต่างๆตาม ที่ได้หาเสียงไว้ออกมาทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียรายได้มหาศาล อย่างไม่คุ้มค่า
ขณะที่กลุ่มคนที่ได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวมีอย่างจำกัดและเป็นคนที่ ไม่จำเป็นที่ต้องได้รับการช่วยเหลือเนื่องจาก มีรายได้ค่อนข้างสูงหรือเป็น “คนรวย” ที่สามารถพึ่งพาตนเองได้อยู่แล้ว ผิดกับ “ผู้มีรายได้น้อย”ที่มีอยู่อย่างดาษดื่น
นโยบายของรัฐบาลที่เป็นการพร่าผลาญรายได้อย่างไม่คุ้มค่า อาทิ
หนึ่ง การส่งเสริมให้ประชาชนมีรถยนต์นั่งคันแรกขนาด เครื่องยนต์ไม่เกิน 1500 ซีซี และรถกระบะ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ระหว่าง1 ตุลาคม 2554-31 ธันวาคม 2555 โดยผู้ซื้อสามารถขอคืนเงินเท่ากับค่าภาษีสรรพสามิตตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท/คันซึ่งคาดว่า จะทำให้รัฐขาดรายได้ประมาณ30,000 ล้านบาท
นโยบายดังกล่าว บริษัทรถยนต์ซึ่งปกติมีอัตราการขยายตัวสูงและร่ำรวยอยู่แล้วจะได้ประโยชน์ เต็มๆ โดยที่ประชาชนที่”ยากจน”จำนวนมากไม่ได้ประโยชน์ใดๆเลย
แต่สิ่งที่น่าอัปยศกว่านั้นคือ กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลังยังพร่าผลาญเงินภาษีของประชาชนซ้ำสองด้วยตั้งประมาณในการส่ง เสริมการขายรถยนต์ให้แก่บริษัทรถยนต์ถึง 100 ล้านบาทจัดงานมหกรรมรถคันแรกเป็นวันที่ 11-14 ตุลาคม ที่ศูนย์แสดงสินค้าไบเทค บางนาและรองนายกรัฐมนตรีไปเปิดงานอย่างภาคภูมิ
ในงานดังกล่าว มีบูธของสถาบันการเงิน บริษัทประกันภัย และ ค่ายรถยนต์เข้าร่วม 50 บูธ โดยคุยว่า จะมีผู้สนใจเข้าร่วมงานประมาณ 250,000 คน
ขณะที่น.ส.ยิ่งลักษณ์และพรรคพวกในทำเนียบรัฐบาลหลอกล่อให้ประชาชนและ บริษัทเอกชนบริจาคได้เงินไป 300-400 ล้านบาทโดยอ้างว่าเอาไปช่วยน้ำท่วม
คำถามง่ายๆคือ ถ้ากรมสรรพาสามิตไม่พร่าผลาญงบประมาณ 100 ล้านบาทเอาใจบริษัทรถยนต์หรือเพื่อนโยบายอัปยศดังกล่าว ก็สามารถนำเงิน 100 ล้านบาทดังกล่าวช่วยพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยได้จำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ดวงตาเห็นธรรม ควรหยุดหรือเลิกนโยบายส่งเสริมการคืนภาษีรถยนต์คันแรกทันทีเพื่อที่รัฐจะไม่ ต้องสูญรายได้ถึง 30,000 ล้านบาท และมีเม็ดเงินเพิ่มขึ้นจากที่ตัดงบฯจากส่วนราชการต่างเป็นกว่า 100,000 ล้านบาทในการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม
สอง นโยบายบ้านหลังแรกที่กำหนดราคาซื้อบ้านสูงถึงหลังละไม่เกิน 5 ล้านบาท เริ่มมีผลตั้งแต่ 22 กันยายน 2554- 31 ธันวาคม 2555 ผู้ซื้อนำมาทยอยขอคืนเงินภาษีภายใน 5 ปี คาดว่า มาตรการดังกล่าวจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ปีละ 1,700 ล้านบาท รวมประมาณ 8,500 ล้านบาท
ต้องยอมรับว่า ผู้ที่มีกำลังซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาทได้และได้ประโยชน์จากการขอคืนภาษีเต็มๆต้องมีรายได้เดือนละเกือบ 100,000 บาทขึ้นไปซึ่งไม่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากรัฐอยู่แล้ว
แม้การยกเลิกนโยบายนี้อาจทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่มากนักเมื่อเทียบ กับนโยบายรถยนต์คันแรก แต่ในยามวิกฤตเม็ดเงินทุกบาททุกสตางค์ ควรถูกใช้อย่างคุ้มค่า ไม่ใช่ถูกนำไปใช้เพื่อรักษาหน้าตาของนักการเมือง
ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ การตัดสินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเป็นตัวบ่งบอกว่า มีภาวะผู้นำหรือไม่ หรือเป็นเพียงหุ่นกระบอกที่หลับหูหลับตาเร่งผลักดันนโยบายตาม “ใบสั่ง”โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นตามมาแก่ประเทศชาติ
ตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะทบทวนนโยบายอัปยศที่พร่าผลาญรายได้ของรัฐอย่างไร้ค่า ซึ่งเชื่อว่า จะได้รับเสียงชื่นชมมากกว่าการก่นด่า .