"คันกั้นน้ำ" เหตุแห่งมหาอุทกภัย
นับเป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้วที่น้ำเหนือปะทะน้ำฝนผสม” ซึ่งล่าสุดน้ำทะเลได้เข้ามาหนุนอีกระลอก ทำให้ประชาชนกว่า 59 จังหวัดต้องเผชิญชะตากรรมเป็นผู้ไร้ที่นอน แม้จะเป็นภาพที่ชินตา เพราะถือว่า ไม่ต่างจากปีที่แล้ว จะต่างกันก็แต่เพียงความสูญเสียที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น โดยมีความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ล่าสุดคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) คาดการณ์ว่า อาจมีความเสียหายแล้วกว่า 3 แสนล้านบาท
แม้ทุกฝ่ายจะระดมการแก้ไขปัญหาอย่างสุดกำลังเกิด แต่สถานการณ์ก็ไม่ยังไม่คลี่คลาย ทว่าสิ่งหนึ่งที่ติดพ่วงมาพร้อมกับน้ำท่วมครั้งนี้ คือ การโทษกันไป โทษกันมาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บ้างก็กล่าวโทษว่า การบริหารจัดการข้อมูลไม่มีประสิทธิภาพ บ้างก็ว่า การบริหารน้ำฝนไม่เป็นโล้เป็นพาย บ้างก็ว่า คนบริหารน้ำในอ่างเก็บน้ำมือไม่ถึง เป็นต้น
การหาผู้กระทำความผิด ดูเหมือนจะช่องทางที่ง่ายสำหรับการแก้ไขปัญหาครั้งนี้ โดย รศ.ดร.ชัยยุทธ สุขศรี อาจารย์ประจำภาควิชาวิศกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวพร้อมกับเตือนสติในช่วงที่น้ำกำลังไหลบ่าเข้าทุ่ง กทม.ว่า ความเสียหายและความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจนทำให้ไหลบ่าเช่นนี้ เราไม่ควรโยนความผิดให้คนใดคนหนึ่งและไม่ควรโทษกรมชลประทานหน่วยงานเดียว เพราะการบริหารจัดการน้ำ ไม่ได้มีหน่วยงานเดียวรับผิดชอบ ยังมีหน่วยงานอื่นๆ ร่วมด้วย
“หากจะโทษก็ต้องตำหนิทุกหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือต้องโทษทั้งระบบ เพราะทุกหน่วยงานต่างมีวิธีบริหารจัดการน้ำและทรัพยากรที่แตกต่างกัน แต่ไม่ได้นำข้อมูลมารวมกัน ทำให้การบริหารจัดการน้ำแต่ละพื้นที่เป็นไปแบบเหวี่ยงแห”เขา กล่าว
นักวิชาการผู้นี้ ยังกล่าวอีกว่า ความจริงปีนี้น้ำไม่ได้มากเท่ากับปี 2538 ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ เพราะปริมาณฝนไม่ได้มากนัก แต่ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้น้ำไหลบ่ามากขนาดนี้ เกิดขึ้นจากการบริหารน้ำภายในแต่ละจังหวัด โดยแต่ละพื้นที่เกิดความเห็นแก่ตัวที่มีวิธีการจำลองการป้องกันน้ำท่วมจากการการบริหารของ กทม.ที่สร้างคันกั้นน้ำขึ้นหลังจากน้ำท่วมใหญ่ปี 2526 จากนั้นหน่วยงานแต่ละท้องถิ่นก็เริ่มนำงบประมาณที่ได้จากการกระจายอำนาจไปสร้างคันกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำเข้าพื้นที่ โดยไม่ได้บริหารร่วมกับส่วนกลาง เนื่องจากแต่ละท้องถิ่นมีเงิน มีอำนาจ เป็นของตนเองจึงสร้างสิ่งก่อสร้างเกือบทุกพื้นที่ อีกทั้งการบำรุงรักษาคันกั้นน้ำก็ไม่ได้ประสานงานกัน จึงไม่มีเจ้าภาพหลักในการทำนุบำรุง ดังนั้นหลังน้ำลดควรนำเรื่องนี้มาพิจารณาด้วยว่า หน่วยงานใดจะเป็นผู้รับผิดชอบหลัก
“การสร้างคันกั้นน้ำ ถือเป็นการขัดธรรมชาติของน้ำที่ต้องการแผ่ไปในพื้นที่ที่เคยเป็นแก้มลิง ทำให้ปีนี้น้ำเหนือไหลลงสู่พื้นที่ด้านล่างเร็วและแรงขึ้นอีกหลายเท่า สิ่งหนึ่งที่สังคมควรเข้าใจหน่วยงานภาคปฏิบัติ คือ แนวทางการป้องกันน้ำท่วมไม่มีในโลก เห็นได้จากสถานการณ์น้ำท่วมปีนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะที่ผ่านมาทุกหน่วยงานได้สร้างนวัตกรรมและใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดไปสำหรับการป้องกัน แต่ท้ายที่สุดเราก็ต้องย้อนกลับมาทบทวนว่า ควรจะเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติของน้ำท่วมได้อย่างไร”รศ.ดร.ชัยยุทธ กล่าว
นักวิชาการด้านแหล่งน้ำ ยังกล่าวอีกว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้น้ำไหลไม่มีทิศทาง คือ การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่เพาะปลูกที่เคยเป็นพื้นที่แก้มลิงและพักน้ำ ถูกแปรเปลี่ยนเป็นพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและที่พักอาศัยของผู้คน เท่ากับว่า ที่ดินถูกเปลี่ยนการใช้งานทำให้ข้อมูลเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงมากในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการทำแผนที่ ทั้งกรมโยธาธิการและกรมแผนที่ทหารก็ไม่มีข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน เนื่องจากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
“เมื่อมีข้อมูลที่ไม่เป็นปัจจุบัน การวิเคราะห์และการแก้ไขปัญหาจึงไม่เข้ากับสถานการณ์ ดังนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นนี้ ทุกฝ่ายควรเร่งมือให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ส่วนคนที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือในแต่ละพื้นที่ควรเก็บข้อมูลของระดับน้ำ การไหลของน้ำ ที่ควรทราบเป็นเบื้องต้นว่า น้ำไหลจากทิศใดไปทิศใดและน้ำกักตัวอยู่ในพื้นที่กี่วัน ทั้งนี้เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้นำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์และนำไปสู่การแก้ไขเรื่องการจัดการน้ำในอนาคต หากทราบว่า ธรรมชาติของน้ำแต่ละพื้นที่เป็นอย่างไรเราก็สามารถระบุเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยได้ ซึ่งจะง่ายต่อการเฝ้าระวัง” รศ.ดร.ชัยยุทธ กล่าวเสนอแนะ
เขายังกล่าวต่อไปว่า ภายหลังน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2549 ตนได้ร่วมกับทีมวิจัย รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเสนอต่อหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่ง โดยทีมวิจัยฯ มองว่า เราไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติ แต่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับการอยู่กับน้ำท่วม ซึ่งได้เสนอข้อมูลทั้งระดับนโยบาย ระดับปฏิบัติ รวมถึงการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน อาทิ ปฏิทินการเพาะปลูก การจัดการความขัดแย้งในพื้นที่หลังน้ำท่วม เกณฑ์การปล่อยน้ำ การระบายน้ำจากพื้นที่ต่างๆ เป็นต้น แต่หน่วยงานดังกล่าวอาจจะขาดการนำเสนอต่อรัฐบาลที่เข้ามาใหม่จึงทำให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างไม่ทันท่วงที
“หลังจากน้ำลด ผมจึงเสนอว่า ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรลดทิฐิ แล้วมาระดมสมองด้วยการนำบทเรียนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในช่วงปีที่ผ่านๆ มา นำมาวิเคราะห์ถึงปัจจัย สาเหตุ รวมถึงการบริหารจัดการร่วมกันเสียที เนื่องจากการแก้ไขปัญหาตอนนี้ ทุกหน่วยงานต่างระดมแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ แต่ไม่ตรงจุด เพราะเป็นไปแบบเหวี่ยงแห ไม่มีคนรวบรวมข้อมูลแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน ซึ่งผมเสนอว่า รัฐบาลควรมอบหมายให้หน่วยงานทางวิชาการไปเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งนี้เพื่อนำมาวิเคราะห์เพื่อสรุปบทเรียนและหาทางป้องกัน เพราะข้อมูลที่มีอยู่อาจไม่เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน”นักวิชาการผู้นี้ กล่าว
ทั้งนี้เขามองว่า หากไม่สรุปบทเรียน ในอนาคตรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาอาจจะมีวิธีการป้องกันน้ำท่วม ด้วยการขุดลอกคูคลองและทุ่มงบประมาณแสนๆ ล้านเพื่อสร้างเขื่อน สร้างคันกั้นน้ำที่เป็นแนวทางป้องกันที่ไม่ยั่งยืนอีก โดยเรื่องนี้สามารถพิสูจน์ได้จากเหตุการณ์น้ำท่วม จ.พระนครศรีอยุธยาที่กรมโยธาธิการได้นำเสนอแผนงานการป้องกันน้ำท่วมให้กับทางจังหวัดเมื่อปี 2553 ทว่าแผนงานดังกล่าวไม่อาจป้องกันน้ำท่วมได้ เนื่องจากปริมาณน้ำที่ไหลเข้าพื้นที่มากกว่าที่วางแผน คันกั้นน้ำที่สร้างขึ้นและแผนงานที่นำเสนอสำหรับปีที่แล้วจึงไม่สอดคล้องกัน ดังนั้นเราจึงควรสรุปบทเรียนและรีบหาแนวทางใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้
การบริหารจัดการน้ำที่คลาดเคลื่อนจนทำให้น้ำไหลบ่านี้มีนักวิชาการหลายคนที่เห็นไม่ต่างกัน ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็มองเช่นนั้น แต่เขายังมองไกลไปถึงการเตรียมรับมือกับมรสุมลูกใหม่ที่จะโหมกระหน่ำอีกลูกในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ โดยเขาให้เหตุผลว่า ปีนี้พื้นที่ประเทศไทยยังคงอยู่ในช่วงมรสุมลานินญ่าที่เข้ามาตั้งแต่ปีที่แล้วและขณะนี้ก็ยังคงอยู่ ซึ่งอิทธิพลพายุลูกนี้ส่งผลให้เกิดปรากฎการณ์น้ำท่วมที่ออสเตรเลียและประเทศใกล้เคียง
“ภูมิอากาศแบบลานินญ่าจะทำให้พายุพัดเข้าในพื้นที่ภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะพื้นที่ จ.สงขลา จ.สุราษฎร์ธานีและพื้นที่ตลอดแนวภาคใต้ได้รับอิทธิพลมรสุมลูกนี้ โดยเกรงว่าอาจจะมีความน่ากลัวเทียบเท่าพายุไต้ฝุ่นเกย์ที่เคยพัดเข้าแหลมตะลุมพุกเมื่อปี 2532 จนส่งผลให้ผู้คนเสียชีวิตกว่า 1 พันราย ดังนั้นในระยะสั้นนี้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเริ่มวางแผนเตรียมรับมือกับพายุลูกดังกล่าวอย่างใกล้ชิด อีกทั้งต้องดูว่า อิทธิพลของลมหนาวจะพัดเข้ามาในช่วงเดียวกันนี้หรือไม่ เพราะหากมีอิทธิพลดังกล่าวเข้ามาพร้อมกับการเตรียมการที่ดีก็จะลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นได้” ศ.ดร.ธนวัฒน์ กล่าว
ถือเป็นคมความคิดของนักวางแผนที่นำเสนอข้อมูลผ่านการวิเคราะห์ที่หน่วยงานปฏิบัติควรนำไปเทียบเคียงกับข้อมูลที่มีอยู่เดิมอย่างมีสติ ดีกว่า การหาพระเอกและผู้ร้ายในความทุกข์โศกของประเทศในครั้งนี้