พลิกวิกฤติน้ำท่วม “จัดการอาหาร-น้ำ”
สึนามิน้ำจืดที่กำลังถล่มบ้านเรือน เรือกสวนไร่นา นิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ยืนยันความเชื่อของผลกระทบภาวะโลกร้อนและชี้ให้เห็นความสำคัญของการจัดการอาหาร จากรายงานองค์การอาหารสากล (FAO )พบว่าจำนวนผู้ขาดอาหารในโลกปัจจุบันมีประมาณหนึ่งพันล้านคนและจำนวนนี้ยังเข้าไม่ถึงน้ำสะอาดด้วย
การแก้ปัญหา นี้ให้สำเร็จในเร็ววันจึงเป็นไปไม่ได้เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหาที่ซับซ้อน มีทั้งเรื่องภูมิอากาศ ความสมบูรณ์ของดิน น้ำ เทคโนโลยี และยังมีเรื่องของรายได้ของประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ประชาชนในประเทศเหล่านี้จึงต้องหารายได้จากอาชีพอื่นเพื่อซื้ออาหารและน้ำใน เวลาเดียวกัน ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าอาชีพอะไรจึงจะทำเงินได้มากพอที่จะซื้ออาหารและน้ำดัง กล่าว
ในงาน ANUGA ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารใหญ่ที่สุดในโลกที่จัดโดยประเทศเยอรมัน และปีนี้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 8 - 14 เดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีบริษัทเข้าร่วมประมาณ 6,000 กว่ารายจากร้อยกว่าประเทศโดยบริษัทที่เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นขนาดกลางและขนาด ย่อมประมาณ 85% ตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่าในโลกนี้มีทั้งผู้ผลิตอาหารเกินและขาดควบคู่กันไป ทางแก้ไขปรากฏการณ์ “ขาดและเกิน” นี้ ทุกประเทศต้องเปิดตลาดและการลงทุนอย่างเป็นระบบให้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน ดังนั้น ยาขมหม้อใหญ่ของการเปิดตลาดนี้ จึงอยู่ที่ศักยภาพการแข่งขันของแต่ละประเทศซึ่งต้องแก้ไขด้วยหลัก 4 ประการ ดังต่อไปนี้ คือ
1)การเพิ่มการศึกษาของประชาชน
2) การวิจัยและพัฒนา
3) การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานการผลิต
4) กฎระเบียบที่ต้องสร้างให้เกิดความสมดุลระหว่างธุรกิจและสังคม
แต่ถ้าหากทุกประเทศยังยืนยันจะเลือกวิธีปกป้องตลาดเหมือนเช่นปัจจุบันแล้ว ผลลัพธ์ก็คือปัญหาการขาดแคลนอาหารก็จะยังคงอยู่ให้เห็นเหมือนเช่นทุกวันนี้
ในวันเปิดงาน ANUGA ผู้นำทั้งจากภาคการเมืองและธุรกิจจากประเทศเยอรมันและอิตาลี ต่างพูดถึงความสำคัญของความปลอดภัยอาหาร ความสำคัญของการผลิตอาหารให้ได้จำนวนเพิ่มขึ้นเพื่อสนองอุปสงค์ของประชากร โลกที่เพิ่มขึ้นไปในแนวทางเดียวกัน แต่สิ่งที่น่าแปลกใจ คือ ผู้นำเหล่านี้กลับไม่ได้เน้นถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
แม้ว่า 20 ปีที่ผ่านมา งาน ANUGA ได้พัฒนาไประดับหนึ่ง เปลี่ยนจากงานที่เคยเรียกแบบให้เข้าใจง่ายๆ ว่า “Salmon and Wine Fair” เป็น “งานแสดงอาหาร” ที่แท้จริง
จำนวนบริษัทในประเทศไทยที่เข้าร่วมก็ได้เพิ่มขึ้นจาก 3 บริษัทเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนเพิ่มขึ้นเป็น 20 รายซึ่งต้องชื่นชมกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเภทสินค้าก็ได้พัฒนาจาก “วัตถุดิบ” เป็นสินค้าสำเร็จรูปเกือบทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าความสามารถในการผลิตของไทยนั้นได้พัฒนาถึงระดับโลกแล้ว
แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่ได้เห็นประเทศใดนำเสนอเรื่องกระแสโลกร้อนที่จะกระทบ กับธุรกิจ มีเพียงประเทศซิลีที่ขึ้นป้ายคำว่า Carbon Neutral ซึ่งก็ไม่ได้มีความหมายอะไร
ที่น่าสนใจ คือ ประเทศเยอรมันยอมให้นำตับห่านจากฝรั่งเศสเข้าร่วมงานซึ่งก็เป็นเรื่องที่ ทราบกันดีว่าเป็นการเลี้ยงแบบ Forced Feeding ขัดต่อหลักการเรื่องสวัสดิการสัตว์ (Animal Welfare) ซึ่งเป็นมาตรการทางการค้าที่กลุ่มประเทศในยุโรปให้ความสำคัญสูง
ทั้งหมดนี้คือความแตกต่างระหว่างกฎระเบียบและการค้าจริง ดังนั้น ประเทศไทยจะต้องเข้าใจถึงความเป็นพลวัตของทั้งสองสิ่งนี้และตั้งอยู่บนความ ไม่ประมาท
สิ่งท้าทายทั้ง 4 ข้อดังกล่าวข้างต้นจึงต้องได้รับการขานรับจากรัฐบาลและรีบดำเนินการในทันที โดยเฉพาะปัญหาโครงสร้างโดยเริ่มต้นที่น้ำซึ่งกำลังท่วมประเทศในเวลานี้จะ ต้องได้รับการแก้ไขให้หมดไปภายในเวลาสั้นที่สุด
เราจะต้องไม่ทำอะไรไปตามสถานการณ์หรือ Just Do It แต่ต้องทำให้ได้ความยั่งยืน หรือ Just Do It Right