"บริหารผิด-ตัดสินใจพลาด"...น้ำท่วมใหญ่จากการเมืองล้วนๆ
รศ.สุชาติ นวกวงศ์ อาจารย์คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เขียนในเว็บไซต์เฟซบุ๊ค เสนอมุมมองเรื่องน้ำท่วมใหญ่ที่กำลังสร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าในขณะนี้ โดยเปิดข้อมูลที่ชี้ให้เห็นว่า “ปัญหาเกิดจากการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งเป็นปัญหาทางการเมือง” หาใช่การพร่องน้ำจากเขื่อนตามที่มีการกล่าวหากัน
ที่มาของมวลน้ำ
น้ำในปีนี้มากจริงครับ เขื่อนภูมิพลระดับเก็บกักปกติประมาณ 13,400 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนสิริกิติ์ประมาณ 7,000 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีฝนตกมากในช่วงเดือน ก.ค. น้ำจึงเริ่มสะสมในเขื่อนดังกล่าวจนเกือบเต็ม
ประมาณเดือน ส.ค.น้ำยังไม่เต็มเขื่อน แต่ฝนตกเติมโดยพายุ สรุปว่ามีน้ำเริ่มเต็มเขื่อนปลายเดือน ส.ค. ส่วนเดือน ก.ค.เริ่มน้ำท่วมที่บางระกำ จ.พิษณุโลก จ.สุโขทัย และ จ.พิจิตร น้ำเริ่มไหลมากขึ้นในแม่น้ำปิงและแม่น้ำน่าน จนที่สุดกลางเดือน ก.ย.น้ำไหลผ่านที่ จ.นครสวรรค์ ประมาณ 4,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที อยากรู้ว่าน้ำไหลวันละกี่ล้านลูกบาศก์เมตร ให้เอา 86,400 ไปคูณ
ดังนั้นมีน้ำไหลผ่านที่นครสวรรค์วันละ 4,400 x 86,400 = 380,160,000 ลูกบาศก์เมตร รวมระยะเวลา 40 วัน (20 ส.ค.ถึง 30 ก.ย.) จึงมีน้ำผ่านที่นครสวรรค์รวมตัวเลขคร่าวๆ 380,160,000 x 40 = 15,206,400,000 ลูกบาศก์เมตร (เลขกลมๆ คือ 15,000 ล้านลูกบาศก์เมตร) และนี่คือที่มาของตัวเลขน้ำ 1.5 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรที่พูดกัน
น้ำเหล่านี้ไหลผ่าน จ.นครสวรรค์ ลงสู่เขื่อนเจ้าพระยาที่ จ.ชัยนาท และก่อนถึงเขื่อนเจ้าพระยา น้ำได้ล้นแม่น้ำออกไปในทุ่งและที่ต่ำ เหลือน้ำที่ผ่านเขื่อนเจ้าพระยาที่ชัยนาท 3,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที น้ำมาที่เขื่อนเจ้าพระยา 3,800 x 86,400 = 328,320,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งก็คือปริมาตรน้ำรวม 1 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรนั่นเอง
การพร่องน้ำหรือไม่พร่องน้ำในเขื่อนไม่เกี่ยว สำคัญที่ตัวเลขรวม ต้องตั้งใจติดตาม แล้วจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับระบบการจัดการน้ำในช่วง 2 เดือนมานี้
ตัวเลขที่จะวิเคราะห์ต่อไปนี้ ขอให้เป็นตัวเลขสถิติภายใน 40 วันเท่านั้น ส่วนตัวเลขอื่นๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังเป็นช่วงปลายน้ำท่วมและน้ำล้น
สุพรรณฯแห้ง-บางโฉมศรีแตก
จาก จ.นครสวรรค์ น้ำล้นทุ่งไป 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เหลือมีน้ำมาที่เขื่อนเจ้าพระยา 3,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และมาที่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา 3,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที อยากทราบว่าเป็นตัวเลขต่อวันเท่าใดให้เอา 86,400 ไปคูณทุกที่และทุกครั้ง
ส่วนทางขวาของเขื่อนเจ้าพระยามีคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำท่าจีน โดยปกติถือเป็นคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวาของเขื่อนเจ้าพระยา ตามปกติรับน้ำได้ประมาณ 300-500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่ในช่วงน้ำที่วิเคราะห์ (40 วัน) คลองมะขามเฒ่าไม่เปิดระบายน้ำ
ดังนั้นน้ำ 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (คิดแค่ 400 เท่านั้น) จึงต้องมารวมกับน้ำในเขื่อนเจ้าพระยา วิ่งผ่านเขื่อนเจ้าพระยา กลายเป็น 4,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ล้นความสามารถของลำน้ำเจ้าพระยา 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หรือ 43,200,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวันน้ำ ส่วนเกินต่อวันนี้ไปไหน มันก็ต้องวิ่งไปฝั่งตะวันออก ไปทางฝั่งลพบุรี ไป อ.ท่าวุ้ง
น้ำนี้วิ่งไปทางตะวันตกไม่ได้อีก เพราะประตูน้ำพลเทพ (จ.ชัยนาท) ที่อยู่ต่ำลงมาไม่เปิด ประตูพลเทพนี้ถ้าเปิดน้ำก็จะวิ่งไปทุ่งเดิมบางนางบวช ศรีประจันต์ (จ.สุพรรณบุรี) แต่ประตูพลเทพก็ไม่เปิดหรือเปิดน้อย ดังนั้นน้ำทั้งหลายส่วนเกินจึงต้องวิ่งไร้ทิศทางไปทุ่งฝั่งตะวันออก นั่นคือวิ่งไปทุ่ง อ.บ้านหมี่ อ.ท่าวุ้ง ของ จ.ลพบุรี และอำเภออื่นๆ ของ จ.ชัยนาทและสิงห์บุรี ทั้งๆ ที่ในทุ่งที่กล่าวมาก็มีน้ำฝนน้ำทุ่งอยู่บ้างแล้ว
นี่คือสาเหตุที่มาของประตูบางโฉมศรีแตก เพราะประตูน้ำต้องรับแรงอัดของน้ำที่มากเกินเหตุ
เส้นทางน้ำเข้ากรุง
ขณะเดียวกันน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาได้น้ำมาเติมอีกอย่างน้อย 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (วันละ 103,680,000 ลูกบาศก์เมตร) จากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ถึงเวลานี้น้ำทุกส่วนล้นตลิ่งแม่น้ำ ข้ามฟากไปนิคมโรจนะ นิคมไฮเทคและอื่นๆ
น้ำที่ล้นแม่น้ำก็ล้นเข้าไปเป็นน้ำทุ่ง น้ำมหาศาลที่ล้นเข้าทุ่งประมาณ 1,500-1,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที คิดเป็นมวลน้ำอย่างน้อย 5,000-6,000ล้านลูกบาศก์เมตรในรอบ 40 วัน เข้าทุ่งด้านบนของกรุงเทพฯ แยกเป็น 2 ส่วน ไปทางตะวันออก 1 ส่วน และตะวันตก 1 ส่วน ถ้าจับหารสองก็จะได้ส่วนละ 3,000 ล้านลูกบาศก์เมตร
ตะวันออกไปตามคลองรังสิตและรวมกับน้ำคลองระพีพัฒน์ ส่วนน้ำฝั่งตะวันตกมุ่งหน้าตามทิศของคลองพระพิมล คลองหนึ่งที่ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ และคลองบางบัวทอง ที่สุดคลองบางบัวทองทนไม่ได้แตก เป็นมหาวิปโยคอยู่ทุกวันนี้
ส่วนน้ำในคลองระพีพัฒน์ ประมาณ 200-300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทียังคงไปทางใต้ ไประพีพัฒน์แยกตก แยกใต้ และรวมกับน้ำทุ่งรังสิต กดดันคลองสามวาอยู่ในขณะนี้ คลองสามวาจะรอดหรือไม่คงต้องลุ้นกันว่าคลองก่อนหน้านั้นคือคลองหกวารอดหรือเปล่า แต่เข้าใจว่าขณะนี้คลองหกวารอดแล้ว เพราะแรงกดดันน้อยลง เนื่องจากประตูคลองสามวารั่วโดยจงใจ
น้ำท่วมทุ่งจากบางบัวทองยังคงมุ่งหน้าต่อไปที่คลองมหาสวัสดิ์ซึ่งเป็นคลองเชื่อมระหว่างคลองบางกอกใหญ่กับแม่น้ำท่าจีน ส่วนหนึ่งของคลองมหาสวัสดิ์อยู่ในเขตกรุงเทพฯ เข้าใจว่า กทม.ทราบดีว่าน้ำทุ่งที่ไหลมามีปริมาณมาก เพราะไม่ใช่น้ำบางบัวทองอย่างเดียว น้ำจากทุ่งคลองพระยาบันลือ คลองพระพิมลก็ขอมาร่วมด้วยช่วยกัน
ในส่วนตัวผมไม่เชื่อตัวเลข 1 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตรอยู่แล้ว เพราะเป็นตัวเลขที่โอเวอร์เกินเหตุ เพราะน้ำตั้งมากมายยังคงเป็นน้ำท่าในแม่น้ำเจ้าพระยา วันละ 3,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (เท่ากับ 276,480,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน) ยังคงไหลลงทะเลไป
พนังกันน้ำของคลองมหาสวัสดิ์ ที่วัดปรุณาวาส เขตทวีวัฒนา ทนไม่ไหว แตกก่อน ทำให้เกิดน้ำท่วมเขตทวีวัฒนา และโดยรอบมหาวิทยาลัยมหิดล าลายาที่ผมทำงานอยู่ (มหิดลยังเอาอยู่ คำพูดของนายกฯ) และลุกลามไปทั่วในพื้นที่กรุงเทพฯ นครปฐม สมุทรสาคร
บริหารผิด-ตัดสินใจพลาด
ปัญหาที่ต้องวิเคราะห์คือไม่มีน้ำเข้าทุ่งที่ อ.เดิมบางนางบวช ศรีประจันต์ ดอนเจดีย์ อ.เมืองสุพรรณฯ และบางระจันด้วย พื้นที่ตรงนี้ประมาณ ต่ำๆ 5 แสนไร่ คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 800 ล้านตารางเมตร ถ้ายอมให้น้ำ เข้าไปขังในทุ่งสูง 1.5 เมตร จะได้น้ำขังในทุ่งในรอบ 40 วันเท่ากับ 1,200 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือไม่ก็ควรให้น้ำส่วนนี้ไหลไปตามแม่น้ำท่าจีน ไหลผ่านลำน้ำผ่านทุ่งดังกล่าวไปผ่านสุพรรณฯ
คำถามคือไม่มีการชะลอน้ำในทุ่งดังกล่าว ทำไมถึงไม่มี เมื่อไม่มีการชะลอน้ำด้วยเหตุต่างๆ ในพื้นที่ดังกล่าว หรือมีแต่น้อยมากจนมวลน้ำไม่สมดุลกัน น้ำส่วนที่ไม่สมดุลนี้จึงเทรวมไปฝั่งตะวันออก รวมไหลเป็นวิปโยค และยังมีส่วนเกินถูกกักขังด้วยพนัง ถูกบังคับด้วยขั้นตอนต่างๆ การไหลของน้ำจึงผิดเพี้ยนไม่มีรูปแบบ
ประกอบกับเมื่อพื้นที่ใหญ่อย่างสุพรรณฯไม่ยอมให้น้ำท่วม และยังมีการบังคับน้ำให้ไหลไปท้องที่อื่น น้ำจึงมีการไหลจากการจัดการที่ผิดรูป ที่สุดควบคุมไม่ได้กลายเป็นน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี ใหญ่ที่สุดที่ผมเคยเห็นมา
ผมอาจจะถูกคัดค้านโดยบางคนว่าสุพรรณฯเขาก็มีน้ำท่วมนะ ผมก็ไม่ได้ว่าน้ำไม่ท่วม แต่น้ำที่ท่วมนั้นมันท่วมบริเวณที่มันต้องท่วมอยู่แล้ว เช่น บริเวณหน้าตลาด อ.บางปลาม้า หน้าตลาดเก้าห้อง ล่าสุดเอารูปน้ำท่วมที่บ้านท่าระหัดที่ อ.เมืองมาให้ดูเป็นขวัญตาว่าน้ำก็ท่วมสุพรรณฯนะ นั่นเป็นน้ำจิ้ม
ทุ่ง อ.สองพี่น้องของผมน้ำไม่ท่วมทุ่งครับ แต่ปี 2538 ผมขับรถผ่านทุ่งบางลี่ (ทุ่งสองพี่น้องนี่แหละครับ) น้ำท่วมทุ่ง รถผมผ่านแต่เกือบต้องจมกลางทาง ระหว่างสุพรรณฯไป อ.สองพี่น้อง ระยะทางประมาณ 25-30 กิโลเมตร ซึ่งเห็นข้อแตกต่างกันชัดเจนกับปีนี้
สรุปในเบื้องต้นว่าการบริหารจัดการน้ำภายใต้แรงกดดันทางการเมือง ท้องถิ่นและระดับชาติไม่เป็นผลดี เพราะทำให้รูปแบบการไหลของน้ำผิดรูปไป น้ำต้องไหลแบบธรรมชาติ ต้องมีการบริหารจัดการที่ดีภายใต้องค์ความรู้เชิงวิชาการทรัพยากรน้ำ
ฉะนั้นมวลน้ำที่มากมายเมื่อรวมกับการบริหารน้ำผิด การตัดสินใจผิดของผู้นำอีกหลายครั้ง จึงกลายเป็นมหันตภัยน้ำท่วมทุกวันนี้” .
ที่มาภาพ : http://www.chaoprayanews.com/2011/06/08/สำนักระบายน้ำ-เตือนคนกร/