ดร.อภิชาติ อนุกูลอำไพ "แก้ปัญหาน้ำสะเปะสะปะ เพราะขาดแม่ทัพ"
อีกหนึ่งที่มาช่วยงานรัฐบาลแก้ปัญหาน้ำท่วมใน ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือศปภ. คือ ดร.อภิชาติ อนุกูลอำไพ นายกสมาคมทรัพยากรน้ำแห่งประเทศไทย โดยเป็นทีมงานของปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ “ดร.อภิชาติ” บอกว่า มาช่วยตั้งแต่ศปภ.ตั้งอยู่ที่สนามบินดอนเมืองเพราะสนิทกับปลอดประสพมานาน เมื่อชวนก็มาช่วยทั้งภาพรวมและดูการขุดคลองระบายน้ำฝั่งตะวันออก
ทีมงานปฏิรูปสัมภาษณ์ดร.อภิชาติ ในช่วงที่รัฐบาลกำลังขะมักเขม้นกับการวางบิ๊กแบ็คที่แนวดอนเมือง ส่วนหัวน้ำในส่วนกทม.ชั้นใน กำลังรุกคืบจากวิภาวดีรังสิตแยกสุทธิสารมุ่งหน้าเข้าดินแดง
วิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้เป็นบทเรียนที่แพงแค่ไหน
ผมคิดว่า 1.การบริหารจัดการน้ำ ต้องมาเปลี่ยนแนวคิดใหม่ สมัยก่อนสภาพไม่เหมือนปัจจุบัน กรมชลประทานอาจบริหารแบบเดิมซึ่งเขาแก้ไขได้ แต่ปีนี้มันไม่ปกติ เราจะไปดูน้ำในแม่น้ำอย่างเดียวไม่ได้ มันมีน้ำท่วมทุ่งตั้งเยอะแยะ แม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเดียวก็ระบายไม่ได้ เพราะแม่น้ำเจ้าพระยาก็ระบายได้ 300 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ต่อวัน รวมถึงฝั่งตะวันออกและตะวันตกผมให้อย่างเก่งก็ 500 ล้านลบ.ม.ต่อวัน แต่น้ำข้างบนเหนือกทม. มันเป็นหมื่นล้านลบ.ม ถ้าหารกันแล้ว ก็ต้องใช้เวลาระบายเยอะ ฉะนั้นจริงๆ เราควรเตรียมตัวให้ดีกว่านี้คือ ต้องพยายามผันน้ำให้เยอะที่สุด จะได้ไม่ต้องมาตุงอยู่ที่กรุงเทพ
2. เราอาจจะมั่นใจเกินไป เลยไม่มีการตรวจตรา แนวคันพระราชดำริ ว่า มีช่องโหว่ที่ไหน แล้วก็ไม่มีการจัดระบบ บางจุดก็ต่ำ บางจุดก็สูง พอเจอระดับน้ำที่สูงกว่าปกติเราก็ตั้งตัวไม่ทัน อีกเรื่องที่สำคัญ การควบคุมสั่งการ รู้สึกจะไม่ค่อยมีเอกภาพ คือ ไม่ใช่ดูแต่เรื่องมวลน้ำอยู่ที่ไหน ต้องรู้ด้วยว่า น้ำเดินทางไปทางไหนด้วย เราต้องวางแผนก่อนว่า จะไปเส้นทางไหน น้ำก็เช่นกัน ไหลจากที่สูงไปที่ต่ำ มีอะไรกั้นเขาไม่สนใจ เขาต้องไปที่ต่ำให้ได้ นี่คือ บทเรียนที่เราต้องมีการปรับปรุง
ทีนี้เรื่องเขื่อนก็เหมือนกัน คือ เราไม่ได้โทษนะ แต่ปัญหาคือ วิธีบริหาร เพราะเขื่อนมีเอนกประสงค์ ทั้งเพื่อการเกษตร พลังงาน เพื่อน้ำท่วม ที่จริงต้องมาจากผู้กำหนดนโยบายว่า เราจะเสี่ยงอันไหนมากอันไหนน้อย ถ้าเผื่อเราอยากจะมีน้ำไว้เพื่อลดความเสี่ยงหากขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร เราก็ต้องเสี่ยงน้ำท่วม ก็เหมือน กรณีนี้ ปีนี้เรามีพายุมาก แต่เราก็เก็บน้ำแบบปกติ เราก็ระบายไม่ทัน อันนี้มันจะไปโทษผู้ดำเนินการไม่ได้ แต่ต้องเป็นนโยบายเลยว่า เอาหล่ะ เราจะให้น้ำหนักเรื่องไหนมากกว่ากัน คือ ถ้าเขาปล่อยน้ำเยอะ เกิดหน้าแล้ง ไม่มีน้ำใช้ เขาก็โดนต่อว่าอีก แต่อันนี้ก็ต้องชัดเจนในระดับข้างบน ก็เหมือนกับเราประกันความเสี่ยง ก็อยู่ที่ว่า เราจะประกันบ้าน หรือ ประกันสุขภาพ
ทำไมมันน้ำไม่ระบายไปด้านตะวันออกตามแผนที่วางไว้
ตอนนั้น เราไม่กล้าอัดน้ำเต็มที่กลัวจะท่วมทางตะวันออก ซึ่งฝั่งตะวันออกจะสูงกว่ากรุงเทพฉะนั้น กรุงเทพแถวบางพลี เป็นแก้มลิง ทีนี้ถ้าเผื่อมีการ
ผันน้ำก่อนก็จะมีดีขึ้น
ปัญหาการผันน้ำที่จริงใครต้องรับผิดชอบ
เหมือนเวลาสงครามที่เรากำลังรบกับข้าศึกอยู่ ถ้าแนวไหนเราชัดเจนว่า ไม่ยอมถอย เราก็ต้องกั้นให้แข็งแรง อีกแนวหนึ่งก็อาจจะล่อให้ข้าศึกมันไป อันนี้คือ กลยุทธ์ แม้จะยาก แต่เราทำได้ ถ้าเรามียุทธวิธี นอกจากนั้น บางคลองก็ยังมีประตูกลางคลอง ซึ่งสมัยก่อนเราไม่เคยคิดว่ามันจะท่วมขนาดนี้ ก็มีประตูไว้กัน แต่ตอนนี้พอสถานการณ์ไม่ปกติ เลยกลายเป็นตัวขวางน้ำทำให้น้ำยิ่งท่วม
ที่บอกว่า การสั่งการเหมือนไม่มีประสิทธิภาพ ช่วยขยายผลคืออะไร
ผมว่า ประสานงานกันไม่ค่อยดี ระหว่างหน่วยงานกับหน่วยงาน หรือ หน่วยงานเดียวกัน เช่น คนที่รับผิดชอบประตูระบายน้ำต้องเข้าใจ ไม่ใช่สักแต่ว่าเปิด หรือ สักแต่ว่าสูบ ต้องรู้ทางเดินของน้ำ เหมือนตำรวจจราจรต้องรู้ว่า เส้นนี้ไปไหน แต่ไม่ใช่เอาคนไม่รู้เรื่องไปคุมไฟเขียว ไฟแดงมันก็เละซิ ซึ่งอันนี้เราขาดคนที่มาบัญชาการตรงนี้จริง เพราะขนาดผมบินตรวจดูก็ยังเจอ เช่น จุดที่น่าจะปิดก็เปิด จุดที่น่าจะเปิด เช่น ที่คลองสามวาที่มีปัญหา เราก็บอกว่า น่าจะพยายามหรี่ประตีระบายน้ำไว้ ไม่ให้น้ำเข้ามามาก ไม่งั้น น้ำจะท่วมในกรุงเทพ ถ้านโยบายเราต้องการป้องกัน กทม. ก็ต้องคุม คือ ให้น้ำมา แต่อย่าให้ล้นคัน แต่บางแห่งก็เปิดเต็มที่เลยก็มี เช่น เราอยากจะปิดตรงคลองรังสิตประยูรศักดิ์เพื่อดันน้ำไปตะวันออก แต่หลายจุดไม่สัมพันธ์กัน
สำหรับผมเป็นห่วงที่สุดคือ คลองประปา ถ้าเกิดน้ำในคลองประปาผลิตน้ำไม่ได้ คนกรุงเทพ 8 ล้านคนจะลำบาก อันนี้วิกฤตกว่านะ แต่ตอนนี้ การจัดลำดับความสำคัญว่าอันไหนต้องสู้ มันสะเปะสะปะ อันไหนสำคัญเราก็ต้องทุ่มเทสรรพยากรมากหน่อย อันไหนไม่สำคัญก็ปล่อยไป เพราะเราไม่มีทรัพยากรพอที่จะไปรบทุกด้าน เหมือนตอนนี้เราอยู่ในสงคราม สำหรับผมตอนนี้ ถ้าเราต้านไม่ได้เหมือนข้าศึกเข้ามาแล้ว เราก็เลือกป้องกันอันที่สำคัญ เราก็ต้องไล่ศัตรูไปเร็วๆ อย่าให้อยู่ในบ้านเรานาน
ถ้ายังสะเปะสะปะอยู่จะเป็นอย่างไร
น้ำไม่คอยท่า คือ ระหว่างที่เราตัดสินใจสองวัน น้ำจะมาหาเราแล้ว อย่างตรงดอนเมืองเราบอกให้กั้นสนามบินเป็นอาทิตย์แล้ว เราเห็น
ปัญหาแล้วว่า น้ำจะเข้ามา แต่ก็ไม่มีใครสั่งการ ก็เพิ่งมาเริ่มไม่กี่วัน อย่างทีมของเราก็ได้บอกผู้มีอำนาจ แต่ไม่มีการดำเนินงาน เพราะ
ตอนนี้มีผู้เชี่ยวชาญเยอะเหลือเกิน บริษัทที่ปรึกษาก็มี แต่ละคนก็มีไอเดียเยอะ เราก็ไม่ว่า เพราะทุกคนมีความตั้งใจดี แต่ผมว่า คนที่สั่ง
การต้องมีแผน จะเอาอันไหนก็เอาอันนั้น ไม่ใช่ฟังวันนี้ทีหนึ่ง พรุ่งนี้ที แน่นอนการตัดสินใจมีโอกาสผิดพลาดได้ ไม่มีใครตัดสินใจแล้ว
ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราต้องตัดสินใจบนข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดแล้วเราก็เดินหน้า แต่ไม่ใช่วันนี้ พรุ่งนี้เอาอีกแบบ ก็ยิ่งแย่ไปใหญ่
อย่างเรื่องผันน้ำเรามาพูดตั้งแต่วันแรกว่า ให้ผันน้ำไปทางตะวันออก แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เป็นเรื่องเป็นราว ในส่วนของศปภ. ก็มีกรรมการหลายชุดเกิน ไม่รู้ใครจะเป็นคนสั่ง ถ้าทำงานให้เป็นเอกภาพ เหมือนสงครามจะต้องมีแม่ทัพรับผิดชอบคนเดียว ส่วนนายกฯเป็นจอมทัพ ที่รับผิดชอบในภาพรวม แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะต้องไปให้นายกฯเซ็น ทำไม่ได้ ทุกวันนี้เรื่องสำคัญก็ขึ้นอยู่กับนายกฯ เช่น เรื่องการเปิดปิดประตูคลองสามวา ขนาดนายกฯมาเล่นเองก็ยังไม่จบ ก็ยังกลับไปกลับมา มันสะท้อนว่าเราไม่มีเอกภาพไง ผมว่า นี่เป็นเรื่องง่ายๆ
มีกี่จุดที่คิดว่า การตัดสินใจมีปัญหา
จริงๆ เรามีโอกาสเยอะในการแก้ปัญหาพอควร อย่างตอนอยุธยาท่วม แนวคันต่างๆ ควรรีบทบทวนว่า มีคันพอหรือไม่ นี่เราเสียโอกาส วันที่น้ำท่วม
ตรงคลอง1 คลอง 2 เราเสียเวลาโอกาสไปตั้งอาทิตย์นึง พอมาตอนนี้ก็กั้นยากเพราะน้ำสูงแล้ว คือ เป็นเรื่องเสียโอกาส ต้องแข่งกับเวลา หลักการคือ
เราต้องรีบแบ่งน้ำไม่ให้มาโจมตีกรุงเทพมากเกินไป
ถ้าการบริหารงานมีเอกภาพ จะช่วยลดบรรเทาความเดือดร้อนได้
ผมว่า จะลดความรุนแรงลงแทนที่น้ำจะท่วม อาจท่วมไม่มาก แทนที่จะท่วมนานก็ท่วมไม่นาน คือ วันนี้เราต้องยอมรับว่า เรายันศัตรูไม่อยู่ น้ำเข้ามาแล้ว เมื่อมาเราก็ต้องไล่ลงให้เร็วที่สุด อันไหนสำคัญก็ต้องป้องกันไว้ ที่ผ่านมาเรามีเวลาพอสมควร แต่เราเสียโอกาส คือถ้าเราตอบสนองเร็วกว่านี้ ความเสียหายอาจจะไม่เยอะกว่านี้ก็ได้
ลดความรุนแรงได้แค่ไหน
ผมยังประเมินไม่ได้ แต่ผมว่า น้ำต้องลดได้ อาจไม่ถึงครึ่ง แต่ 20-30%
ก็เยอะแล้ว เศรษฐกิจตั้งเท่าไร ตีมูลค่าเท่าไร
ปัญหาจริงๆมาจากอะไร
ทั้งหน่วยงาน สายบังคับบัญชา เหมือนไปออกศึกต้องมีแม่ทัพที่รับ
ผิดชอบสั่งการได้หมด แต่ของเรามีแม่ทัพเยอะ มีกรรมการตั้งกี่ชุด
รองนายกฯ นายกฯ ก็เลยไม่รู้ว่า เรื่องนี้แม่ทัพคนไหนรับผิดชอบกัน
บ้าง อันนี้อาจจะเป็นวิธีการบริหารก็ได้
ตัวนายกฯมีปัญหาด้วยไหม
ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่แน่นอนในฐานะนายกฯ แต่ก็มีรองแม่ทัพตั้งหลายคน
โทษแม่ทัพใหญ่คนเดียวก็ไม่ได้ อยู่ที่การบังคับบัญชา การตอบสนองการ
แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ค่อยทันท่วงที ผมว่า เรื่องจังหวะนะ
กรมชลประทานกับ กทม. มีปัญหาในการประสานงานกันแค่ไหน
ที่ผมว่าไง การทำงานมีโอกาสผิดพลาด แต่ทำอย่างไรโดยพื้นฐานของความรู้ ความเข้าใจ ผมว่า คนเข้าใจ แต่บางเรื่องที่ไม่น่าจะผิดพลาด ก็เข้าใจยาก เพราะความเสียหายมันมหาศาล
บทเรียนจากนี้สู่อนาคตข้างหน้า
ต้องเอาผู้ที่เกี่ยวข้อง มาสุมหัววิเคราะห์ใหม่ว่า ถ้า ณ วันนี้เราแก้ปัญหาอีกแบบหนึ่ง จะเป็นอย่างไร ผมว่า จะได้เป็นบทเรียน เพราะบทเรียนครั้งนี้มันแพงมาก ก็คุณคิดดู เสียหายเท่าไร การแก้ปัญหาระยะยาว สมัยก่อนในระยะยาว รัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านทำทั้งนั้น คลองรพีพัฒน์เพราะท่านรู้ว่า คนไทยอยู่กับน้ำ แต่ท่านก็เอาคลองทั้งเป็นการระบายน้ำ และใช้เป็นการเกษตรหมด ตอนหลังเราพัฒนาใหม่ เรื่องขนส่งแทนที่เราจะใช้ทางน้ำเราใช้ทางบก เราก็สร้างถนนเป็นว่าเล่น แต่เราก็ขี้เหนียว แทนที่จะเอาเงินไปเวรคืนซื้อที่ อาจจะแพง เราก็ถมคลองซะเลย อย่างถ.พระรามสี่ สมัยก่อนครึ่งเป็นคลอง เราถมคลองเป็นถนน ทางน้ำไหลก็ไม่มี ทีนี้ผมว่า เราก็ต้องกลับไปใหม่ในเมื่อเรามีปัญหาอย่างนี้ เราเสียเงินเป็นหมื่นๆ ล้าน เวรคืนที่ดินตัดถนนได้ ผมถามว่า แล้วเราทำไมไม่สามารถเสียเงินเป็นหมื่นล้าน เวรคืนที่ดินแล้วทำคลองเพื่อระบายน้ำ เราจะยอมต่อสู้อย่างนี้อีกไหม ซึ่งผมว่า คนไทยทุกคนน่าจะบอกได้แล้วว่า พอซะที มันไม่ไหวแล้ว ที่ยังตกอยู่ในสภาพอย่างนี้อีกแล้ว ก็คุณลองคำนวณดูก็ได้ กระสอบทรายตั้งเท่าไร ที่อยู่หน้าบ้านคน แล้วลองนึกภาพดูหลังน้ำท่วมทรายพวกนี้ไปอยู่ไหน มีใครคิดบ้าง ผมว่า ทรายนี้จะอยู่ในท่อระบายน้ำแล้วมีกี่คนจะเอาไปทิ้ง หรือ ไม่ทิ้งก็ได้ แต่มันยุ่ยเปื่อยกว่าน้ำจะลด ทั้งของกทม.ของเทศบาล ที่กองๆ ไว้ เขาจะมีแรงไปเก็บคืนหรือไม่
ทางออกระยะสั้นในการแก้ปัญหาน้ำ
ต้องไปทำความสะอาดคลองต่างๆ ที่เป็นเส้นหัวใจเพื่อเราจะได้ระบายน้ำได้ทัน ใครบุกรุก มีผักตบชวา ก็ต้องไปจัดการ เหมือนเราเป็นโรคหัวใจ ตอนนี้ต้องล้างเส้นเลือดให้อยู่ก่อน ระยะยาวผมว่า โดยที่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการใช้ที่ดิน ป่าที่สมัยก่อนเป็นอ่างเก็บน้ำธรรมชาติ ตอนนี้เป็นภูเขาหัวโล้นหมด ก็ต้องไปฟื้นฟูเพื่อให้ไปเก็บน้ำได้ อีกอันคือ ต้องเริ่มศึกษาทำคลองระบายน้ำใหม่ เหมือนทำมอเตอร์เวย์ หรือ ทำวงแหวน แต่ให้เลี่ยงเมือง ไม่ให้เข้ากรุงเทพ อีกเรื่องคือ แก้มลิงทั้งหลาย โดยธรรมชาติที่ในหลวงทรงรับสั่ง ซึ่งมี แต่เราไม่รู้คุณค่ามัน เราไปถม ทำเป็นที่บ้าง ก็ต้องฟื้นฟู ระบบเก็บน้ำ ทางน้ำให้เร็วที่สุด ซึ่งอันนี้ใช้เงินไม่เยอะ สิ่งสำคัญ ผู้บริหารมีคำมั่นสัญญาหรือยังว่าเราจะไม่ให้เกิดปัญหาอย่างนี้แล้ว
สิ่งสำคัญที่สุด คือ เปลี่ยนความคิด ถ้าคิดว่าปัญหานี้เป็นเรื่องปกติ เราก็ต้องเจอวิบากกรรมอย่างนี้ เพราะเรื่องนี้เราไม่สามารถมองข้ามไปได้อีกแล้ว
เป็นปัญหาที่มีโอกาสเกิดขึ้น เพราะสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป และในอาเซียน ก็น้ำท่วมหมด และเราควรแก้แต่เนิ่นๆ เราจะมาคิดว่า จะเกิดอีก
50-100ปีไม่ได้ ปีหน้ามันจะเกิดอีกก็ได้ สำคัญที่สุด ผู้นำต้องเริ่มให้ความสนใจว่า ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาธรรมดาปกติ เพราะอย่างนี้ครั้งนี้มันฟ้อง
ความเสียหายที่เกิดขึ้นใครต้องรับผิดชอบ
มีที่ต้องรับผิดชอบเยอะ 1.คนไทยส่วนใหญ่ในพื้นที่ต้นน้ำ ต้องร่วมกันรับผิดชอบ เพราะท่านเป็นคนช่วยทำลายป่าไม้จนหมด 2. หน่วยราชการ ไม่เฉพาะ
กรมชลประทาน หน่วยงานช่างทั้งหลายไปทำถนน ขวางน้ำ มันฟ้อง อันนี้ก็ต้องรับผิดชอบ การออกแบบ ที่เลวร้ายคือ สะพานต่างๆ ใต้สะพานมีตอม่อ
ที่เรามีปัญหาเยอะเลย 3.คนกรุงเทพทั้งหลายที่มักง่าย เห็นทางน้ำ ลำคลองเข้าไปบุกรุก คือ อยากจะได้ที่ เพราะความโลภ ก็ต้องรับผิดชอบ 4. หน่วยงาน
ที่มีหน้าที่ดูแล ผมว่าปัดความรับผิดชอบไม่ได้ อยู่ที่ใครรับผิดชอบมากหรือน้อย แต่ผมว่า ต้องมีคนรับผิดชอบเยอะ ที่สำคัญที่สุดคือ เราไม่ค่อยกล้ารับ
ความจริง ผมว่า สังคมไทยต้องเปลี่ยน บางครั้งคนไทยรักหน้า กลัวเสียหน้า แต่ความจริงการเสียหน้าอาจเป็นการดีก็ได้ คือ รับมาตรงๆ ว่า เรามีปัญหา
และทุกคนเตรียมระวังไว้ แต่บางคนเขาไม่รับ เพราะคล้ายๆ กับว่า ไป ฟ้องตัวเองว่า ไม่มีความสามารถ