สายตรงจากกัวลาลัมเปอร์...เปลี่ยนโอกาสให้เป็นวิกฤติ
รู้กันมาตั้งนานแล้วว่า ภัยธรรมชาติของโลกสมัยนี้ไม่ใด้เรื่องของธรรมชาติเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นเรื่องการเมืองทั้งระดับสากลและระดับประเทศไปเสียแล้ว เนื่องจากหายนะทางธรรมชาติใหญ่ๆจำนวนมากมาจากน้ำมือมนุษย์ แล้วย้อนกลับมาให้มนุษย์แก้ไข วิธีแก้ปัญหาแบบหนึ่งก็ด้วยกระบวนการเจาจาต้าอ้วยทางการเมืองนั่นแล
ถ้าใครไม่เชื่อก็ลองย้อนกลับไปดูปี ๒๕๔๐ ว่าผู้นำประเทศทั้งหลายต้องต่อรองกันหืดขึ้นคอเพียงใดกว่าจะได้มาซึ่งสิ่งที่เรียกว่า “พิธีสารเกียวโต” ซึ่งเป็นพันธะกรณีระหว่างประเทศว่าด้วยการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศต่างๆในโลกนี้
ก็รู้กันอยู่อีกนั่นแหละ ว่าอะไรก็ตามที่เป็นเรื่องของการเมืองย่อมเกี่ยวข้องกับผู้นำทางการเมืองโดยตรง ผู้นำรายไหนจะมาเล่นมุขบอกว่าพายุมันเกิดแผ่นดินมันไหวแล้วข้าพเจ้าจะไปห้ามมันได้อย่างไรก็อาจเจอของแข็งโทษฐานปฏิเสธความรับผิดชอบ ซึ่งก็คือการดูแลทุกข์สุขของประชาชนด้วยการนำพาประเทศฝ่าความยากลำบากยามวิกฤตนั่นเอง
เมื่อประเทศในโลกนี้มีวิกฤต เราก็มักจะได้พบผู้นำสองประเภท นั่นก็คือผู้นำที่ที่สามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส กับผู้นำที่ที่ทำอย่างไรวิกฤตก็ยังคงเป็นวิกฤตอยู่ดี ผู้นำแบบที่สองนี้มีทางเลือกสองอย่างนั่นก็คือแสดงความรับผิดชอบแล้วกราบลาพ่อแม่พี่น้องออกจากตำแหน่งไปเสีย หรือไม่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่ไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับมาตรฐานในใจของตัวผู้นำแต่อย่างไร แต่ขึ้นอยู่กับมาตรฐานในสังคมของแต่ละประเทศมากกว่า เข้าทำนองว่า “สังคมเป็นอย่างไรก็ได้ผู้นำอย่างนั้น”
จะว่าไปแล้ว วิกฤตธรรมชาตินับเป็นโอกาสทองทางการเมือง เพราะประการแรกมันเป็นหนึ่งในความหายนะจำนวนน้อยนิดที่ได้ได้เกิดจากนักการเมือง นอกจากนั้นพอเกิดขึ้นแล้วยังเปิดโอกาสให้ผู้นำได้แสดงฝีไม่ลายมือเรียกศรัทธาจากประชาชน ถ้าทำได้ก็ถือเป็นทุนทางการเมืองชนิดที่เงินทองมหาศาลก็ซื้อไม่ได้
แต่ถ้าเจอผู้นำที่ “เล่นไม่เป็น” โอกาสทางการเมืองอาจกลายเป็นวิกฤตทางการเมือง สร้างผู้นำชนิดพิเศษที่ “เปลี่ยนโอกาสให้เป็นวิกฤต” ฮ่าๆๆๆ
ปรากฏการณ์ “น้องน้ำทัวร์” ของประเทศไทยที่สร้างความเสียหายมหาศาลนั้นร้ายแรงยิ่งนัก แต่ในอดีตไม่ใกล้ไม่ไกลเราได้พบเห็นภัยธรรมชาติที่ร้ายแรงกว่านี้หลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์สึนามิที่อินโดนีเซียเมื่อปี ๒๕๔๗ และล่าสุดแผ่นดินไหว สึนามิ และอุบัติเหตุเตาปฏิกรณ์ปรมาณูที่ญี่ปุ่นเมื่อต้นปีนี้ เหตุการณ์ทั้งสองคร่าชีวิตประชาชนรวมกันนับแสน ไม่นับผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานหลัก รวมทั้งภัยที่มองไม่เห็นเช่นรังสีจากเตาปฏิกรณ์ปรมาณูที่อาจมีผลกระทบระยะยาว ความเสียหายจากเหตุการณ์ทั้งสองต้องใช้การฟื้นฟูเป็นปีๆ
แต่ชะตากรรมของผู้นำอินโดนีเซียและผู้นำญี่ปุ่นนั้นต่างกันลิบลับ ในขณะที่นาย นาโอโตะ คัง นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ประกาศลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อกระแสวิภากษ์วิจารณ์เรื่องความล่าช้าในการฟื้นฟูหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวไปเมื่อเดือนสิงหาคมปีนี้ ประธานาธิปดี สุสิโล บัมบัง ยุทธโดโยโน แห่งอินโดนีเซียกลับสอบผ่านฉลุย แถมยังได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นประธานาธิปดีรอบที่สองใน พ.ศ. ๒๕๕๒
กรณีการลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบของนักการเมืองญี่ปุ่น ถือเป็นเรื่องปกติเช่นเดียวกับเรื่องความมีวินัยและคิดถึงส่วนรวมของคนในสังคมญี่ปุ่นเอง ดังนั้นถึงแม้ว่านาย นาโอโตะ คัง จะไม่ได้กระทำความผิดพลาดร้ายแรงในกรณีแก้ปัญหาอันเกิดจากภัยธรรมชาติครั้งนี้ แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่รัฐบาลได้รับก็เพียงพอที่จะทำให้เขาลาออกได้แล้ว
สำหรับประธานาธิปดีสุสิโลแห่งอินโดนีเซียนั้น เมื่อครั้งที่สึนามิถล่มจังหวัดอาเจะห์ เขาเป็นผู้นำน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้เพียงสองเดือน สึนามิฆ่าคนอาเจะห์ไปราว ๒๓๐,๐๐๐ คน ในขณะที่มีคนไร้บ้านกว่า ๕๐๐,๐๐๐ คนกวาดบ้านเรือนในหลายพื้นที่รวมทั้งเมืองหลวงราบพนาสูร กว่าจะฟื้นฟูในผู้คนกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ก็กินเวลานานนับปี
แต่สึนามิได้สร้าง โอกาสทองทางการเมืองให้รัฐบาลสุสิโลแบบที่ไม่มีตำรารัฐศาสตร์เล่มไหนเขียนเอาไว้ ในครั้งนั้นรัฐบาลของเขาได้ฉวยโอกาสนี้เสนอ “วาระทางการเมือง” ครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย นั่นก็คือการเจรจาสันติภาพอาเจะห์
อันที่จริงอาเจะห์กับภาคใต้ของประเทศไทยอยู่ไม่ไกลกันแม้แต่น้อย ชาวไทยสามารถนั่นเรือจากสตูลไปที่เมืองเมดานบนเกาะสุมาตรา แล้วนั่งรถประจำทางต่อเข้าอาเจะห์ได้ง่ายนิดเดียว แต่พวกเรามักจะมัวแต่สนใจอยู่กับเรื่องราวของตนเองจนมีน้อยคนจะรู้ว่าอาเจะห์เป็นพื้นที่การสู้รบร้ายแรงมานับตั้งแต่ ปี ๒๕๑๙ จนกระทั้ง ปี ๒๕๔๗ ระหว่างกองกำลังฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายแบ่งแยกดินแดน “ขบวนการอาเจะห์เสรี”
ในช่วงนั้นชาวอาเจะห์รุ่นๆตั้งแต่สามสิบต้นๆลงมามีชีวิตอยู่อย่างชินชากับความรุนแรงสยดสยองและยากที่จะเข้าใจชีวิตในสังคมที่มีสันติสุข สงครามในอาเจะห์สะเทือนเสถียรภาพทางการเมืองของผู้นำอินโดนีเซียมาถึงสามทศวรรษ ทั้งยังท้าทายความเป็นเอกรัฐของอินโดนีเซียเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นยังเป็นเป็นปัญหาที่ทั่วโลกจับตามองและสร้าง “ชื่อเสีย” ให้กับอินโดนีเซียมายาวนาน
รัฐบาลสุสิโลส่งคนเข้าทาบทามผู้นำฝ่ายแบ่งแยกดินแดนถึงสวีเดน แล้วเชิญนาย Martti Ahtisaari อดีตประธานาธิปดีฟินด์แลนด์มาเป็นตัวกลางในการเจรจาก่อนจะตกลงยื่นหมูยื่นแมวหลายข้อ รวมถึงยอมแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดโอกาสให้ฝ่ายแบ่งแยกดินแดนสามารถตั้งพรรคการเมืองเพื่อส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งในท้องถิ่นได้ แลกกับข้อตกลงยุติกองกำลังติดอาวุธของขบวนการอาเจะห์เสรี
ท้ายที่สุด ทั้งสองฝ่ายได้เซ็นสัญญาสันติภาพอาเจะห์ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ท่ามกลางความโล่งอกโล่งใจของชาวอินโดนีเซียและเสียงสรรเสริญแซ่ซ้องในประชาคมโลก
ความหายนะทางธรรมชาติได้บังคับให้ฝ่ายแบ่งแยกดินแดนคิดทบทวนจุดยืนทางการเมืองของตน ในขณะที่รัฐบาลสุสิโลตัดสินใจไม่ฉวยโอกาสนี้ติดตามบดขยี้ฝ่ายตรงข้าม ศัตรูคู่อาฆาตทางการเมืองทั้งสองตัดสินใจถอยคนละก้าวเพื่อที่ให้ได้อยู่รอดไปพร้อมๆกันในขณะที่ประชาชนชาวอินโดนีเซียและอาเจะห์เฝ้าดูและหนุนช่วยอย่างไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำเหตุผล มาวันนี้อาเจะห์เป็นพื้นที่ปลอดสงครามผู้คนทำมาค้าขายอย่างสงบ อดีตทหารกบฎทั้งหลายออกจากป่าแล้วได้ดิบได้ดีกันหลายคน
เหตุการณ์ “น้องน้ำทัวร์” บ้านเราสร้างความเสียหายแก่ประเทศไทยไม่น้อย แต่ถ้าเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศเพื่อนบ้าน ก็อาจเป็นโอกาสทางการเมืองที่ผู้นำประเทศเราจะฉวยไว้เพื่อพิสูจน์ตนเอง แต่อย่าลืมว่าประธานาธิปดีสุสิโลตัดสินใจทางการเมืองเพื่อแก้ปัญหาขนาดใหญ่ของประเทศที่ชี้ชะตาคนจำนวนมหาศาล โดยไม่มีเรื่องผลประโยชน์แบบคับแคบใดๆมาเกี่ยวข้อง
เพราะถ้าเขาทำเช่นนั้น ชื่อเขาอาจถูกบรรจุอยู่ในทำเนียบผู้นำกลุ่มที่สามผู้ “เปลี่ยนโอกาสเป็นวิกฤต” ไปเรียบร้อยแล้วก็ได้
สำหรับประเทศไทยที่รักยิ่งของเรา วิกฤตครั้งนี้จะกลายเป็นโอกาสหรือจะพลิกกลับเป็นวิกฤตอีกรอบอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป