เชียร์รัฐบริหารงานตามทางพระเจ้า ไม่ให้ลูกน้องทำงานตามซาตาน
ปัญหาน้ำท่วมถือได้ว่าเป็นวิกฤตหนักของประเทศ แต่เท่าที่ผมสังเกต ปัญหาขณะนี้ที่เราเห็น ไม่ใช่เพียงแต่ “น้ำท่วม” ประเทศไทย แต่ดูเหมือนมี “ไฟท่วม” ประเทศไทยด้วย
ผมเป็นคริสเตียน มีหลักพระคัมภีร์กล่าวว่า “ทางรอดเป็นดังประตูแคบ และทางบาปเป็นประตูกว้าง” คนที่จะรักษาตัวเป็นคนชอบธรรม จะเป็นวิถีทางที่ท้าทาย แต่มีคุณค่าต่อชีวิต
และด้วยความเป็นมนุษย์ พระเจ้าจะได้มอบของขวัญสำคัญ คือ “จิตสำนึก” หรือ “มโนธรรม” ในใจของเรา เวลาเราเลือกทางชอบธรรมแม้เป็นทางแคบ “เป็นเรื่องยาก” เรายังมีสันติสุขแท้ในใจ
แต่ตราบเท่าที่เรายังเป็นมนุษย์ เมื่อเราเลือกทางมืด หรือทางอธรรม แม้จะ “เป็นเรื่องง่าย” เราจะไม่มีสันติสุขแท้ในใจ มโนธรรมจะคอยเตือนใจเราเสมอ
การสร้างเป็นเรื่องยาก...การเผาทำลายเป็นเรื่องง่าย
การทำให้รักกันและกันเป็นเรื่องยาก...การทำให้เห็นแก่ตัว และเกลียดชังคืนอื่นเป็นเรื่องง่าย
การทำให้นักลงทุนมั่นใจย้ายฐานผลิตมาไทยเป็นเรื่องยาก...การทำให้เสียความเชื่อมั่นเป็นเรื่องง่าย
การชวนให้นักท่องเที่ยวมาไทยเป็นเรื่องยาก...การทำให้เขาไม่มั่นใจ ไม่กล้ามาเที่ยวไทยเป็นเรื่องง่าย
ผมจึงยังอยากให้กำลังใจรัฐบาลที่ทำงานตามแนวทางของพระเจ้า และควบคุมลูกน้องไม่ให้ทำงานตามทางซาตาน
1.ทำงานตามแนวทางของพระเจ้า รัฐบาลได้รับเสียงสวรรค์จากมหาชนผ่านการเลือกตั้ง ด้วยนโยบายที่บอกกับประชาชนไว้ จะเพิ่มรายได้ จะเพิ่มค่าแรง จะเพิ่มเงินเดือน จะเพิ่มราคาข้าว จะแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก (แม้ปีแรกจะมีความผิดพลาดไปบ้างเล็กน้อย และโชคไม่ดีเจอน้ำที่มากกว่าปรกติพอสมควร) ฯลฯ โดยวิธีสำคัญที่จะช่วยประชาชนอย่างยั่งยืน คือ การเพิ่มศักยภาพและประสิทธิผลของประชาชน ก็จะเป็นแนวทางที่สร้างสรรค์ในทางสว่าง
ในการแก้ไขปัญหาต่อไปนั้น เรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง คือการสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ใน 7 นิคมที่จมน้ำ และกลุ่มที่แม้จะอยู่ในนิคมฯที่ไม่จม (ต้องขอชมการดูแลที่ในที่สุด “เอาอยู่” สำหรับนิคมบางชัน และลาดกระบัง) กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ เป็นกิจการอุตสาหกรรมชั้นนำ ทั้งด้านผลิตรถยนต์ อุปกรณ์อิเลคโทรนิค ยา อาหาร ฯลฯ เขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่คิดเป็นระบบ คิดเป็นวิทยาศาสตร์ จะไปพูดแบบมูลวัว (Bull Shit) กับเขาคงไม่ได้ จึงควรจะนำเสนอ ปัญหา ต้นเหตุของปัญหา ทางแก้ไขปัญหา ก็ควรพูดกันตรงๆ
จะมีวิธีวัดความเสี่ยง สัญญาณเตือนในการเก็บน้ำหรือพร่องน้ำอย่างไร ? ถ้าจะต้องเก็บน้ำมากให้เกษตรกรเก็บข้าวไว้จำนำ จะมีวิธีการตัดสินใจอย่างไร ? จะปรับทิศทางแบ่งน้ำไปผ่านสุพรรณบุรีหรือไม่ ? จะมีมาตรการป้องกันนิคมอุตสาหกรรมอย่างไร ? บิ๊กแบ๊ก ช่วยบรรเทาปัญหา ทำให้แก้ปัญหา “เอาอยู่” จริงสำหรับพื้นที่หลักใน กทม. จะเอามาใช้เป็นมาตรการสำรองกรณีจำเป็นเพื่อป้องกันนิคมอุตสาหรรม จะทำได้ไหม ? หรือทำแล้วจะถูกรื้อทำลาย เพราะคนไทยเกลียดบิ๊กแบ็กไปแล้ว จะเพิ่มทางระบายน้ำแนวดิ่ง ทั้งทางตะวันตก และตะวันออกอย่างไร ? ฯลฯ
จริงๆแล้ว ควรถกสาเหตุให้ชัดและโปร่งใส เพราะการที่ยังไม่ทันมีการวิเคราะห์โจทย์ให้ตรงจุด กลับมีเลขงบประมาณถึง 9 แสนล้านบาทนั้น เขย่าความวางใจของประชาชนพอควร
เพราะเหมือนกับพนักงานเอาน้ำเย็นชงกาแฟ แล้วไม่ละลาย แทนที่จะแก้ด้วยการสารภาพ และเอากาแฟแก้วใหม่ที่ใช้น้ำจากกระติกน้ำร้อน กลับบอกว่า จะลงทุนเทคโนโลยีพิเศษ เอาพลังงานความร้อนจากรังสีอินฟราเรด เขย่าโมเลกุลจนร้อนได้ ฯลฯ ก็อาจจะสิ้นเปลือง เกิดโอกาสสำหรับการคอรัปชัน และไม่ได้รับความน่าเชื่อถือ เพราะอาจถูกมองว่า แก้ปัญหาไม่ตรงจุด ถ้าพนักงานนั้นยังทำอะไรผิดพลาด และไม่ยอมรับ ปัญหาก็ยังอาจคงอยู่ต่อไป
2.รัฐบาลพึง “เอาอยู่” ไม่ให้ลูกน้องใช้แนวซาตาน ตัววัดความสำเร็จ (KPI) หนึ่ง ของรัฐบาลใดๆ คือ การสร้างความรู้รักสามัคคี ความเข้าใจระหว่างคนในบ้านเมือง
ผมเห็นชาวบ้านเดือดร้อน เช่นชาวนนทบุรี ถึงกับยกป้ายว่า “คนนนท์เป็นประชาชนชั้น 2 หรือ ?” ทั้งๆที่ต้นเหตุที่ต้องจมน้ำที่ผ่านไปแล้ว คือการเก็บน้ำและระบายน้ำในเขื่อนผิด จนสะสมเป็นดังสึนามิฝีมือมนุษย์ แต่ดูเหมือนมีความจงใจผ่านสื่อดาวเทียมบางช่องพยายามสร้างความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อ บิ๊กแบ๊ก และคน กทม. ชั้นใน เป็นดัง “แพะรับบาป”
ในฐานะของคน กทม. ชั้นใน ก็ไม่สบายใจที่พี่น้องร่วมชาติ มองว่าเราเห็นแก่ตัว มี SMS เข้ารายการข่าวเป็นระยะๆ เช่น “เมื่อไรคนชั้นใน กทม. จะมีน้ำใจกับคนรอบนอกสักที” หรือ มีผู้ออกทีวีของรัฐบอกว่า “พวกคุณแข้งยังไม่เปียกเลย ก็บ่นกันแล้ว”
ทั้งๆที่ รัฐบาลน่าจะอธิบายหลายๆเรื่อง ให้เกิดความเข้าใจ และความรู้รักสามัคคีในบ้านเมือง เช่น (1) การปล่อยน้ำจากนนทบุรี ก็อาจจะลงไปที่พุทธมณฑล ทวีวัฒนา ซึ่งขณะนี้ ก็อ่วมกันเป็นระดับเกินเมตรกันอยู่แล้วก็มี (2) น้ำก็ไม่ได้จะเลี้ยวเข้ามาท่วม กทม. (3) โดยโครงสร้าง กทม. และการพัฒนาคูคลองที่ผ่านมา ช่วยป้องกัน กทม. ชั้นในโดยธรรมชาติ การเพิ่มพนังรอบแม่น้ำเจ้าพระยาให้สูงขึ้น ก็คือการระบายน้ำมากขึ้นจนพอเพียง จึงไม่ท่วม (4) โครงการพระอัจฉริยภาพ “คลองลัดโพธิ์” ก็ช่วยระบายน้ำลงทะเลเร็วขึ้น (5) การทำให้ กทม. ระบายน้ำได้ดีจนประชาชนสัญจรไปมาได้สะดวก ทำให้กิจการต่างๆยังเดินหน้า การค้าขาย การขนส่งสินค้าไปทั่วประเทศ การสื่อสาร การบริหารพลังงาน การช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทำได้ดีถ้าพื้นที่กทม.ยังแห้ง (6) โดยความหนาแน่นของประชากร ถ้าท่วมชั้นในจะมีปัญหามากขึ้น ขยะมากขึ้น คนแบ่งงบเยียวยาเพิ่มขึ้น ทำให้ตัวหารงบเยียวยาลดลงไม่ดีกว่าหรือ ฯลฯ มันไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัวของคน กทม. แต่อย่างใด
เรื่องนี้ เป็นเรื่องความแตกต่างที่อาจไม่ต้องมีความแตกแยก หรือโกรธกันเลย แต่รัฐต้องกล้าอธิบาย ถ้ารัฐบาลจะคิดว่าการที่กรุงเทพฯชั้นในไม่ท่วมเป็นความผิด ก็น่าจะให้นโยบายให้ชัด ให้ชาวโลกรู้ไปเลย ว่ารัฐบาลคิดอย่างนั้นจริงๆ !
แต่ถ้าไม่ใช่ ก็น่าจะอธิบายให้ผู้จัดทีวีบางสี อย่ายุยงให้คนไทยโกรธกันบนความเท็จเช่นนั้น
จึงอยากเชียร์รัฐบาลให้บริหารงานตามทางพระเจ้า และ “เอาอยู่” ไม่ให้ลูกน้องทำงานตามทางซาตานครับ