ข้อเสนอการป้องกันภัยสืบเนื่องจากน้ำท่วมใหญ่พ.ศ.2554
1. บทเรียนจากน้ำท่วมใหญ่ปีพ.ศ.2554
น้ำท่วมใหญ่ในปีพ.ศ.2554ครั้งนี้นับเป็นน้ำท่วมครั้งประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง ของประเทศไทย ที่แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงที่สำคัญอยู่ 2 เรื่องคือ
1.1 น้ำท่วมสามารถเป็นอันตรายและก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ชีวิต ทรัพย์สิน และความเป็นอยู่ของประชาชนได้อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด เป็นความเสียหายหลายแสนล้านบาทที่เห็นกันอยู่แล้วในวันนี้ และที่จะได้เห็นกันอีกต่อไป ประชาชน นักลงทุน เจ้าของกิจการต่างๆ ต่างไม่มีความมั่นใจว่าจะต้องพบกับ อุทกภัยทำนองนี้ หรือรุนแรงกว่านี้หรือไม่ ในปีหน้า หรือ ปีถัดๆไป หรือ เมื่อใด คุ้มหรือสมควรหรือไม่ที่พวกเขาจะอยู่ที่เดิม โดยลงทุนปรับปรุงบ้านเรือน ที่ทำกิน หรือควรที่จะละทิ้งที่เดิมไปหาที่อยู่ที่ทำกินใหม่ ประชาชนทั่วไปอาจจะยังไม่คิดไปไกลขนาดนั้นเพราะยังต้องต่อสู้อยู่กับปัญหาเฉพาะหน้าที่แสนสาหัสอยู่ในขณะนี้ แต่ผู้ลงทุนรายใหญ่ๆโดยเฉพาะผู้ลงทุนชาวญี่ปุ่นก็ได้แสดงความกังวลความไม่มั่นใจเหล่านี้ออกมาแล้วถึงขนาดที่รัฐบาลต้องรีบออกมาแสดงให้เห็นว่าจะดูแลความกังวลของพวกเขา และ
1.2. ประเทศไทยยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนและเพียงพอในการป้องกันภัยจากมวลน้ำขนาดใหญ่เช่นนี้ ขาดเป้าหมายหลักและยุทธศาสตร์ของประเทศในทุกระดับในการบริหารจัดการน้ำที่ชัดเจนที่ทุกภาคส่วนรับรู้และยึดถือไปดำเนินการ ทำให้ขาดการบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชน และประชาชน เป็นผลให้การบริหารจัดการน้ำครั้งนี้ไม่สามารถป้องกันหรือลดความเสียหายร้ายแรงนี้ได้ มีผู้ประสบภัยจำนวนมากไม่ได้รับทราบล่วงหน้าว่าอุทกภัยครั้งนี้จะใหญ่หลวงขนาดนี้ทำให้เตรียมตัวไม่เพียงพอและไม่ทันการ ทั้งๆที่มวลน้ำเคลื่อนตัวค่อนข้างช้า ในทางกลับกันหลายแห่งก็ได้มีการลงทุนเตรียมการป้องกันน้ำกันมากมายแต่ปรากฏว่าไม่มีน้ำท่วมมาถึง การบริหารจัดการน้ำครั้งนี้ทำให้เห็นว่าพื้นที่ใดมีกำลังมากกว่าหรือรัฐเห็นว่าเป็นพื้นที่สำคัญก็สามารถกั้นน้ำได้ดีกว่า พื้นที่ใดมีกำลังน้อยกว่าหรือรัฐเห็นว่าสำคัญน้อยกว่าก็กลายเป็นที่รับน้ำไป โดยไม่มีความชัดเจนในเรื่องการเยียวยาตลอดจนการชดเชยความเสียหายที่ต้องรับเพิ่มเติมขึ้นนานขึ้น ดูเหมือนว่าผู้ที่อยู่ในพื้นที่รับน้ำนี้ต้องกลายเป็นผู้เสียสละเพื่อรักษาพื้นที่ที่สำคัญไป ทำให้ได้เห็นความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานรัฐกันเองและกับประชาชนที่สามารถรวมกลุ่มกันได้อยู่แทบจะตลอดเวลา
พื้นที่ภาคเหนือตอนใต้และภาคกลางของประเทศไทยเป็นพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่ เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์มีน้ำดีเหมาะแก่การเพาะปลูกโดยเฉพาะการปลูกข้าว แต่เนื่องจากความที่เป็นที่ราบลุ่มนี้เอง ปีไหนมีน้ำมากน้ำก็จะล้นตลิ่งแม่น้ำลำน้ำทั้งหลาย เข้าท่วมท้องทุ่ง เป็นเรื่องปกติที่ชาวบ้านต่างรับทราบและปรับวิถีการดำรงชีวิต ให้สอดคล้องได้เป็นอย่างดี เช่น ปลูกบ้านใต้ถุนสูง ทุกบ้านมีเรือ มีเครื่องมือจับสัตว์น้ำ เป็นต้น ไม่มีความทุกข์กายทุกข์ใจเหมือนที่ปรากฏให้เห็นในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมวันนี้ และนอกจากนี้น้ำท่วมแต่ละครั้งก็นำเอาดินตะกอนมาเป็นปุ๋ยเพิ่มความสมบูรณ์ให้กับพื้นที่ลุ่มน้ำนั้นๆ ต่อมาเมื่อเมืองโตขึ้นก็ได้มีการถมดินสร้างที่อยู่อาศัยที่ทำกิน บ้างก็ทำคันกั้นน้ำรอบที่ดินของตน ใครมาทีหลังก็ถมดินหรือทำคันกั้นน้ำสูงว่าคนก่อนหน้า ใครมีทรัพยากรมากก็ทำสูงมาก ใครไม่ทำอะไรหรือทำระดับไม่สูงพอก็กลายเป็นที่รับน้ำไป และต้องรับน้ำในปริมาณที่สูงขึ้นและนานขึ้นด้วย เนื่องจากพื้นที่รับน้ำต้องหดหายไปจากการถมสูงและการกั้นคันน้ำของผู้มีกำลังเหนือกว่าดังกล่าว
สืบเนื่องมาจากอากาศวิปริตและภัยธรรมชาติร้ายแรงที่ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งทั่วโลกและสภาวะโลกร้อนที่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมีความเห็นว่าเกี่ยวข้องกัน ทำให้มีการคาดคะเนกันได้ว่าประเทศไทยอาจจะได้พบกับปริมาณน้ำฝนเท่าๆกับที่ได้รับในปีนี้หรือมากกว่าในอนาคตอันไม่ไกล หากประเทศไทย(ภายหลังจากน้ำท่วมใหญ่ปีนี้)ยังคงไม่มีมาตรการป้องกันอุทกภัยระดับชาติ ระดับท้องถิ่น ที่เหมาะสมและชัดเจนเพียงพอแล้ว ก็จะได้เห็นภาพการแก้ไขป้องกันอุทกภัยที่ต่างคนต่างทำ ระดมใช้ทรัพยากรมหาศาล ถมที่ดิน ทำคันกั้นน้ำ ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ฯลฯ ตามที่แต่ละหน่วยงานรัฐ/เอกชน แต่ละองค์กรปกครอง แต่ละหมู่บ้าน แต่ละครัวเรือน จะเห็นสมควรและมีกำลัง จะได้เห็นมาตรการป้องกันฯที่ซ้ำซ้อนกันบ้างขัดแย้งกันบ้าง ซึ่งจะทำให้ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง ปกป้องบางพื้นที่ได้แต่กลับไปมีผลกระทบต่อพื้นที่ข้างเคียง เพิ่มการกีดขวางการไหลของน้ำในภาพรวมทำให้น้ำท่วมสูงขึ้นและนานขึ้น ไม่คุ้มการลงทุนที่เสียไป ไม่ว่าจะมองในภาพรวมของประเทศหรือของจังหวัด/อำเภอ หรือโรงงานห้างร้าน หรือแต่ละครัวเรือน
จากข้อเท็จจริงข้างต้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะต้องมีมาตรการป้องกันอุทกภัยทั้งระดับชาติและท้องถิ่นที่ผู้เกี่ยวของผู้มีส่วนได้เสียทั้งหลายจะต้องรับทราบและยึดถือปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาลจากพรรคใด กระทรวง/กรมใด โรงงานใด บ้านใด โดยจัดทำเป็นกฏหมายระดับพระราชบัญญัติ
2. มาตรการป้องกันภัยจากน้ำท่วม
มาตรการป้องกันภัยจากน้ำท่วมมีหลักการที่สำคัญคือต้องมีการระบายน้ำที่ตกลงในพื้นที่หนึ่งๆ ที่เกินความต้องการออกไปจากพื้นที่นั้นๆอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด และต้องมีการป้องกันพื้นที่สำคัญให้พ้นจากการถูกน้ำท่วมทั้งนี้โดยมีระบบเก็บข้อมูล/ประเมินผลและพยากรณ์สภาวะน้ำตลอดจนการแจ้งเตือนให้แก่ประชาชนและผู้เกี่ยวข้องทราบและเตรียมตัวได้อย่างทันการ
สิ่งที่จำเป็นอันดับแรกสำหรับการระบายน้ำคือต้องมีทางระบายน้ำที่เป็นได้ทั้งทางน้ำธรรมชาติและทางน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น คู คลอง ลำธาร แม่น้ำ เป็นต้น ซึ่งปกติควรจะต้องเพียงพอที่จะระบายน้ำออกไปโดยไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน แต่ในทางปฏิบัติปริมาณน้ำฝนแต่ละครั้ง แต่ละวัน แต่ละช่วงเวลา แต่ละปี สูงต่ำแตกต่างกันมาก ทำให้ไม่สามารถที่จะจัดให้มีทางระบายน้ำที่ใหญ่พอรองรับปริมาณน้ำได้ทุกครั้ง เพราะจะไม่คุ้มค่าการลงทุน ดังนั้นเพื่อให้การระบายน้ำมีความเหมาะสมทั้งทางด้านเทคนิค(การใช้งาน)และเศรษฐกิจจึงต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ ได้แก่พื้นที่พักน้ำและ พื้นที่น้ำท่วมมาเข้ามาช่วยพื้นที่พักน้ำ(พื้นที่แก้มลิง)คือพื้นที่ที่เตรียมไว้สำหรับพักน้ำที่ตกลงมาในพื้นที่หนึ่งๆเก็บเอาไว้ก่อนชั่วคราว แล้วจึงค่อยๆระบายน้ำที่พักไว้นี้ออกไป ทำให้ไม่ต้องใช้ทางระบายน้ำที่มีขนาดใหญ่มากๆได้ พื้นที่พักน้ำนี้อาจเป็นได้ทั้งพื้นที่ธรรมชาติ เช่น ที่ลุ่ม หนอง บึง เป็นต้น และพื้นที่ที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น อ่างเก็บน้ำ เขื่อนเก็บน้ำ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามในหลายๆปีอาจมีสักครั้งหนึ่งที่ปริมาณน้ำมากเป็นพิเศษ เช่นมีพายุฝนขนาดใหญ่ เข้ามาติดๆกันหลายๆลูกเป็นต้น หากจะเตรียมพื้นที่พักน้ำและทางระบายน้ำไว้รองรับให้เพียงพอก็อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายและทรัพยากรสูงเกินกำลังของประเทศและไม่คุ้มค่า จึงต้องยอมให้มีน้ำล้นฝั่งล้นตลิ่งทางระบายน้ำออกไปท่วมบางพื้นที่ได้บ้าง พื้นที่เหล่านี้คือพื้นที่น้ำท่วม ซึ่งในพื้นที่นี้จะต้องมีการกำหนดชัดเจนว่าผู้ครอบครองสิทธิ์สามารถต่อทำอะไรได้และไม่ได้บ้างเพื่อมิให้กีดขวางการไหลของน้ำ และเกิดผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม เช่น สามารถปลูกพืชล้มลุกที่ไม่กีดขวางการไหลของน้ำท่วมน้ำหลากได้ ห้ามทำสวนทำไร่ และหรือมีสิ่งก่อสร้างใดๆที่กีดขวางการไหลของน้ำ ห้ามใช้เป็นที่เก็บสารพิษ ห้ามใช้ทำโรงบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น ผู้ครอบครองสิทธิ์พื้นที่น้ำท่วมนี้ต้องรับทราบข้อจำกัดสิทธิเหล่านี้ และต้องรับทราบว่าจะมีน้ำท่วมพื้นที่นี้ในบางครั้งบางปี ดังนั้นเพื่อความเป็นธรรมภาครัฐจะต้องมีการชดเชยสิทธิและโอกาสที่เสียไปเหล่านี้ให้แก่ผู้ครอบครองสิทธิ์ ทำนองเดียวกับการรอนสิทธิ์เขตพื้นที่ที่สายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่าน พื้นที่น้ำท่วมนี้ปกติอยู่บนสองฝั่งของแม่น้ำหรือคลองที่เป็นทางระบายน้ำ ยาวขนานไปกับลำน้ำนั้น ในบางกรณีอาจมีการสร้างคันกั้นน้ำเป็นขอบพื้นที่น้ำท่วมทั้งสองด้านขนานไปกับลำน้ำนั้นด้วยซึ่งเมื่อมีน้ำท่วมก็จะกลายเป็นทางระบายน้ำขนาดใหญ่มีความกว้างเท่ากับระยะห่างของคันกั้นน้ำทั้งสอง
นอกจากนี้การระบายน้ำในพื้นที่ราบลุ่มใกล้ปากแม่น้ำมักจะได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลหนุน ซึ่งหากน้ำทะเลหนุนมีผลกระทบสูงก็อาจจำเป็นต้องจัดให้มีเขื่อนกั้นน้ำทะเลแบบที่ปิดกั้นน้ำทะเลได้เมื่อต้องการโดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้มีการเดินเรือผ่านเข้าออกได้ตลอดเวลา
สำหรับการป้องกันพื้นที่สำคัญ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง ฯลฯ ของประเทศ โดยทั่วไปจะใช้วิธีสร้างคันกั้นน้ำที่สูงและแข็งแรงพอเพียงที่จะต้านมวลน้ำที่เข้ามา โดยมีระบบสูบน้ำ เพื่อสูบน้ำที่เข้ามาในพื้นที่ออกไป คันกั้นน้ำนี้ทำด้วยวัสดุต่างๆกันเช่น ดิน อิฐ คอนกรีต เหล็ก อลูมิเนียม เป็นต้น มีทั้งแบบถาวรและชั่วคราว
ในทางปฏิบัติปกติจะใช้องค์ประกอบในการป้องกันอุทกภัยที่กล่าวมาข้างต้นนี้ทำงานร่วมกันทั้ง พื้นที่พักน้ำ ทางระบายน้ำ พื้นที่น้ำท่วม คันกั้นน้ำ ระบบสูบน้ำ ฯลฯ ซึ่งแต่ละองค์ประกอบนี้ต่างมีค่าใช้จ่ายสูงในการลงทุนและดำเนินการ และต่างมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ต่อสมดุลทางธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมโดยตรงทั้งสิ้น ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องจัดให้มีการศึกษาพิจารณากำหนดมาตรการการป้องกันอุทกภัยของประเทศ โดยศึกษาความเหมาะสมทั้งทางด้านเทคนิค เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างระเอียดรอบครอบ ให้ได้ภาพที่ชัดเจนว่าพื้นที่ใดควรเป็นพื้นที่พักน้ำ แม่น้ำลำน้ำใดควรได้รับการปรับปรุงอย่างไรให้เป็นทางระบายน้ำ ควรจะมีการก่อสร้างทางระบายน้ำใหม่เพิ่มเติมหรือไม่ พื้นที่ใดควรเป็นพื้นที่น้ำท่วม พื้นที่ใดควรได้รับการป้องกัน ฯลฯ พร้อมทั้งจัดทำแผนการดำเนินการมาตรการป้องกันอุทกภัยที่เหมาะสมกับกำลังของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน จัดลำดับความสำคัญเป็นแผนเร่งด่วน แผนระยะกลาง และแผนระยะยาว ในการศึกษานี้มีประเด็นที่สำคัญยิ่งที่ต้องมีการการศึกษาและพิจารณากำหนดคือ เป้าหมายของการป้องกันอุทกภัยระดับประเทศ และระดับย่อยๆลงไปว่าควรจะรองรับปริมาณน้ำหรือมวลน้ำขนาดใด 30 หรือ 50 หรือ 100 หรือ 200 ปี (return period) หรือ เท่าใด เพราะเป้าหมายนี้จะเป็นตัวกำหนดขนาดขององค์ประกอบทั้งหลาย เป็นต้นทุนทางด้านการเงิน เศรษฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อมโดยตรงทั้งสิ้น หากกำหนดเป้าหมายของการป้องกันอุทกภัยไว้ต่ำเกินไป ก็จะไม่สามารถป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในทางกลับกันหากเป้าหมายฯไว้สูงเกินไปต้นทุนการป้องกันก็อาจสูงเกินกว่าความเสียหายที่ต้องการจะป้องกัน คือไม่คุ้มทุน นั่นคือต้องมีการบริหารความเสี่ยงของอุทกภัย
ประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียทั้งหลายจะต้องได้รับการประชาสัมพันธ์ให้รับทราบถึงมาตรการเหล่านี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับตนเองเนื่องจากต่างมีสิทธิและหน้าที่ของตนเอง และต้องได้รับการเตือนให้สามารถเตรียมตัวได้ทันการทุกครั้งเมื่อมีความเสี่ยงของอุทกภัย การศึกษานี้ต้องครอบคลุมถึงระบบการประชาสัมพันธ์ ระบบการเก็บวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆเพื่อการประเมินความเสี่ยงของอุทกภัย รวมถึงระบบการเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ
แม้ในขณะนี้ จะมีมาตรการต่างๆที่กล่าวมาแล้วนี้และหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่บ้างแล้ว แต่ยังขาดเป้าหมายหลัก ยุทธศาสตร์ มาตรการและแผนป้องกันอุทกภัยของประเทศในระดับต่างๆที่ชัดเจนและสอดคล้องกันในการบริหารจัดการน้ำ จึงจำเป็นต้องมีการศึกษานี้ แม้ว่าต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาวิชาและใช้เวลามากเพราะเป็นการศึกษาครอบคลุมทั้งประเทศ เนื่องจากมวลน้ำมาจากหลายพื้นที่หลายแหล่งของประเทศและกระจายระบายออกไปสร้างผลกระทบให้แก่พื้นที่ต่างๆกัน และการจะศึกษาเปรียบเทียบพิจารณากำหนดให้พื้นที่ส่วนใด แม่น้ำลำคลองใด เป็น พื้นที่พักน้ำ ทางระบายน้ำ พื้นที่น้ำท่วม ฯลฯ ก็ต้องพิจารณาทั้งภาพรวมของประเทศและภาพเฉพาะของแต่ละท้องถิ่น พิจารณาทั้งสภาพภูมิประเทศ การใช้ประโยชน์ของพื้นที่ ประชากร สิ่งแวดล้อม ฯลฯ เพื่อให้ได้มาตรการป้องกันอุทกภัยที่เหมาะสมในทุกด้าน
อย่างไรก็ตามการศึกษานี้จะต้องเร่งพิจารณานำเสนอแนะมาตรการป้องกันอุทกภัยระยะเร่งด่วน เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถดำเนินการได้ทันก่อนน้ำท่วมใหญ่คราวต่อไปจะมาถึงด้วย
3. บทสรุปและข้อเสนอแนะ
สืบเนื่องจากสภาวะโลกร้อน และอากาศวิปริตตลอดจนภัยธรรมชาติร้ายแรงที่ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งทั่วโลก ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าประเทศไทยอาจจะได้พบกับปริมาณน้ำฝนเท่าๆกับที่ได้รับในปีนี้หรือมากกว่าในอนาคตอันไม่ไกล
ในขณะที่น้ำท่วมใหญ่ปีนี้ได้แสดงให้เห็นว่าน้ำท่วมใหญ่สามารถก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่ชีวิตประชาชนและทรัพย์สินของทุกภาคส่วนได้ หากไม่มีมาตรการการป้องกันอุทกภัยระดับประเทศและระดับท้องถิ่นที่ชัดเจนและเหมาะสมดังเช่นที่เป็นอยู่
ดังนั้นหากยังคงไม่มีมาตรการป้องกันอุทกภัยที่เหมาะสมเช่นนี้ต่อไป ประเทศไทยจะได้เห็นการป้องกันอุทกภัยที่ต่างคนต่างทำตามกำลังของตน เพิ่มการกีดขวางการไหลของน้ำทำให้น้ำท่วมรุนแรงขึ้นได้ ได้เห็นการป้องกันที่ซ้ำซ้อนกัน ขัดแย้งกัน บางพื้นที่ที่ไม่เคยถูกน้ำท่วมกลับถูกท่วม ที่ถูกท่วมอยู่แล้วอาจถูกท่วมสูงเพิ่มขึ้นนานขึ้น เกิดความขัดแย้งในสังคม ในภาพรวมจะได้เห็นการป้องกันที่ไม่ได้ผลและไม่คุ้มค่าการลงทุน
ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องดำเนินการโดยทันทีให้มีการศึกษาความเหมาะสมทางด้านการเงิน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม กำหนดเป้าหมายและมาตรการป้องกันภัยระดับประเทศและท้องถิ่น ที่ชัดเจนสำหรับทุกภาคส่วน อย่างละเอียดรอบครอบ แม้จะต้องใช้เวลามาก เพื่อให้เกิดการป้องกันอุทกภัย ที่มีการบูรณาการที่ดี ได้ผลดี คุ้มค่าการลงทุนในทุกด้าน และเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายซึ่งจะเป็นการ ลดความขัดแย้งในสังคมลงอีกทางหนึ่งโดยออกเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ ที่ทุกภาคส่วนต้องรับทราบและถือปฏิบัติ