รำลึก ๖ ตุลา: วาทกรรม รัฐประหาร ฉ้อราษฎร์บังหลวง และระบบกฎหมาย
๑. ปกป้องสถาบัน?
อ่านบทความของอาจารย์เกษียรที่วิเคราะห์ว่าอาจารย์คณะนิติศาสตร์พยายามปกป้องสถาบัน “รัฐประหาร” แล้ว ก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง หลังจากรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับข้อเสนอของ “นิติราษฎร์” ชั้นหนึ่งแล้วเพราะขนาดคนที่ผมนับถือว่าเป็น “ปราชญ์” ในสังคมไทยยังไปไกลถึงขนาดนี้เสียดายก็แต่ว่า แทนที่เราจะมาถกเถียงหาความจริงกันว่าอะไรเป็นสิ่งที่ถูกที่ควรในสังคม ก็จะกลายมาเป็นการเถียงกันว่า “ใครรับใช้ใคร?”หรือ “ใครพยายามปกป้องอะไร?”
คงหนีไม่พ้นที่อีกไม่นานก็จะมีใครคนหนึ่งลุกขึ้นมาชี้หน้าด่าว่าถ้าพวกหนึ่ง “ปกป้องรัฐประหาร” อีกพวกหนึ่งก็ “ปกป้องการฉ้อราษฎร์บังหลวง” นั่นเอง สรุปแล้วในประเทศนี้ ไม่มีใครหวังดีต่อบ้านเมือง ซึ่งผมไม่เชื่อเช่นนั้น เพราะถ้าจะนับคนที่คัดค้านการฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือระบอบฉ้อฉลทางนโยบายแล้วละก็อาจารย์เกษียร อาจารย์วรเจตน์ และชาวคณะนิติราษฎร์ก็จัดว่าอยู่แถวหน้าทีเดียว เพียงแต่อาจารย์เกษียรและคณะนิติราษฎร์มองรัฐประหารต่างกันกับอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น
ในทางกลับกัน ก็ใช่ว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับอาจารย์เกษียรและคณะนิติราษฎร์เขาจะสนับสนุนรัฐประหารไปด้วย เพียงแต่เขาอาจจะมองเห็นวิธีต่อต้านต่างกันไปเท่านั้น บางทีถ้าคณะนิติราษฎร์จะเสนอประเด็นที่๕ ลงในประกาศเสียด้วยเลยว่า “การกระทำความผิดต่อหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานและหน้าที่ในการจัดการทรัพย์สินของผู้อื่น และการฉ้อราษฎร์บังหลวงทั้งปวงให้เป็นความผิดที่ไม่มีอายุความอีกต่อไป”ข้อกล่าวหาว่า “ปกป้องคนผิด” เช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็นอย่างที่เป็นอยู่
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็ทำให้กลับมาคิดว่าการสวมหมวกอันน่ารังเกียจให้แก่กันและกันมันเป็นของง่าย และข้อขัดแย้งระหว่างผู้ทรงคุณวุฒิในสังคมดูจะเป็นฉากน่าตื่นเต้นในขณะที่การถกเถียงด้วยวิธีหักล้างกันด้วยคมเหตุคมผลบนพื้นฐานของการเคารพความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่งนั้น เมื่อเทียบกันแล้วดูจะยังไม่ค่อยน่าตื่นเต้นมากนักคงเป็นเพราะมันยุ่งยาก และบางทีการแยกแยะข้อแตกต่างระหว่างการหาสิ่งที่ “ถูกต้อง”กับสิ่งที่ “ถูกใจ” ในบ้านเราคงยังต้องพัฒนาอีกมาก แต่เราก็ควรจะถือโอกาสในความขัดแย้งเช่นนี้แหละช่วยกันพยายามทำให้ความสามารถแยกแยะเหตุผลถูกผิดในสังคมนี้ ให้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ
มาคิดในอีกแง่หนึ่งก็ช่วยให้ปลงได้ว่า บางทีทั้งคณะนิติราษฎร์และอาจารย์เกษียรก็คงจะแสดงข้อคิดเห็นต่างๆ มาเพื่อยั่วให้แย้ง และกลายเป็นกระบวนการ “แลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางสังคม” หรือ Communicative Actions ตามทฤษฎี “วาทกรรม” ซึ่งกำลังแพร่หลายในยุโรปและอเมริกาเพื่อเป็นอาหารสมองของเราในระหว่างช่วงน้ำท่วมใหญ่ก็เป็นได้ ในแง่นี้ก็ต้องถือว่าความพยายามข้างต้นนั้นได้ผล
อย่างน้อยในภาวะที่ต้องทนกล้ำกลืนกับน้ำท่วมบ้านเมืองเช่นนี้หากนักวิชาการทั้งหลายจะช่วยชี้ให้เห็นว่า นอกจากภัยธรรมชาติแล้ว การรัฐประหารการฉ้อราษฎร์บังหลวง และความย่อหย่อนในการปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ตั้งตนอยู่ในทางที่ถูก ไม่ว่าในการก่อสร้างถนน สร้างเขื่อนหรือวางท่อระบายน้ำได้เป็นสาเหตุที่ร่วมก่อความทุกข์ยากแก่คนจำนวนมหาศาลอย่างไรก็จะถือได้ว่าข้อถกเถียงเช่นนี้ช่วยหาทางคิดแก้ไขความทุกข์ยากของพี่น้องทั้งหลายและหาทางออกแก่สังคมไทยในอนาคตได้
(ยังมีต่อ - ๒. แล้วเราควรมีท่าทีต่อการรัฐประหารอย่างไร? )