รำลึก ๖ ตุลา: วาทกรรมรัฐประหาร การฉ้อราษฎร์บังหลวง และระบบกฎหมาย (ตอน ๓)
(ต่อจากตอน ๒ หลังเว้นวรรคเพราะเหตุอุทกภัย)
ว่าด้วย ๔. แนวคิดของคนหนุ่มสาวยุค ๑๔ ตุลา และ ๕. ท่าทีของนักกฎหมายและตุลาการไทย
๔. แนวคิดของคนหนุ่มสาวยุค ๑๔ ตุลา
ไม่ใช่ว่าก่อนหน้าคณะนิติราษฎร์จะไม่มีใครถกเถียงกันเรื่องการล้มล้างผลพวงของการรัฐประหารมาก่อน เพราะในยุคหลัง ๑๔ ตุลา และหลัง ๖ ตุลา ปัญญาชนในรั้วมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ปัญญาชนนักกิจกรรมทางการเมือง ล้วนแต่ถกเถียงกันว่า อะไรเป็นหลักประกันสำหรับประชาธิปไตย และหากเกิดการรัฐประหารขึ้น ประชาชนควรจะล้มล้างผลพวงของการรัฐประหารและระบอบเผด็จการที่ย่อมสถาปนาขึ้นจากการรัฐประหารได้อย่างไร?
คำตอบเมื่อเกือบ ๔๐ ปีก่อนนี้ มีด้วยกันสองแนวทาง แนวทางแรก คือ ทุ่มเททั้งชีวิต ทุ่มเทสรรพกำลังเสริมสร้างประชาธิปไตยในหมู่ปวงมหาประชาชน จัดตั้งกันขึ้นตามวิถีทางประชาธิปไตย หลีกเลี่ยงการใช้กำลังเข้าปะทะ ต่อสู้ยาวนาน สู้-พ่ายแพ้-สู้ใหม่ อย่างไม่ย่อท้อ จนกว่าอำนาจตามข้อเท็จจริงจะอยู่ในมือประชาชนอย่างแท้จริง โดยถือว่าทุกการต่อสู้(อย่างสันติ) และทุกความพ่ายแพ้ คือบทเรียนที่สังคมจำต้องผ่านไปให้ได้ และเมื่อผ่านมาแล้วนั่นแหละเราจะล้มล้างผลพวงของการรัฐประหารได้อย่างถาวร
แนวคิดแรกนี้สะท้อนออกมาด้วยบทเพลง “เพื่อมวลชน” ที่ว่า “หากฉันเกิดเป็นเม็ดทราย จะโถมกายยอมพลีเพื่อมวลชน” และ “ชีวา – ยอมพลีให้ - มวลชนที่ทุกข์ทน ขอพลีตน - ไม่ว่าจะตายกี่ครั้ง”
คนกลุ่มนี้เห็นว่า การก้มหน้าก้มตาปฏิบัติหน้าที่ของตน และรักษาความถูกต้อง ส่งเสริมให้คุณธรรมในสังคมสูงขึ้นทีละน้อย คือส่วนหนึ่งของการสร้างเงื่อนไขที่จำเป็นทางสังคม อันต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันในสังคมอย่างยาวนาน เพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่จัดตั้งกันจนมีอำนาจทางการเมืองที่แท้จริง
แต่อีกแนวทางหนึ่งตั้งอยู่บนฐานคิดว่า “อำนาจรัฐไม่อาจได้มาด้วยการร้องขอ แต่ต้องได้มาด้วยกระบอกปืน” และเชื่อว่าแนวทางเดียวที่จะล้มล้างผลพวงของอำนาจเผด็จการและการรัฐประหารได้ ก็คือการที่ประชาชนลุกขึ้นต่อสู้อำนาจรัฐเผด็จการ ล้มล้างรัฐอันเป็นผลพวงของการรัฐประหารอันเป็นผลงานของคนหยิบมือเดียวด้วยการสร้างอำนาจรัฐใหม่ของประชาชนขึ้น
แต่อำนาจรัฐใหม่ของประชาชน ไม่มีทางได้มาด้วยการต่อสู้อย่างสันติ เพราะในที่สุดก็จะถูกปล้นชิงไปโดยกองกำลังที่ถืออาวุธของคนส่วนน้อย ดังนั้นอำนาจรัฐของประชาชนต้องตั้งขึ้นและรักษาไว้ด้วยกองทัพของประชาชนเท่านั้น และเมื่อไม่มีทางที่กองทัพของรัฐเผด็จการ หรือรัฐที่เป็นผลพวงของเผด็จการจะยอมมอบอำนาจให้โดยดี ดังนั้นการจัดตั้งอำนาจรัฐใหม่ขึ้นจึงต้องเข้าช่วงชิงด้วยกำลังอาวุธ
การต่อสู้สองแนวทางเช่นนี้ มิใช่เป็นปรากฏการณ์ในประเทศไทยเท่านั้น แต่อันที่จริงเป็นคำถามที่ดำรงอยู่ทั่วโลก ในประเทศสหพันธสาธารณรัฐเยอรมนี แม้จะไม่มีการฆ่าหมู่นักศึกษา แต่การชุมนุมประท้วงของนักศึกษาที่ถูกปราบปรามโดยการใช้กำลัง จนกระทั่งเกิดกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้หนึ่งใช้อาวุธปืนยิงนักศึกษาเข้าที่ท้ายทอยในระยะประชิดตัว เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ เป็นเหตุให้นักศึกษาผู้นั้นถึงแก่ความตาย แต่เต่อมาศาลกลับพิพากษาปล่อยตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจไป เพราะตำรวจผู้นั้นอ้างว่าได้ทำไปโดยป้องกันตัว และศาลเห็นว่าไม่มีหลักฐานยืนยันเพียงพอว่า ตำรวจผู้นั้นได้กระทำไปด้วยเจตนาทำร้ายนักศึกษา คำพิพากษาดังกล่าวก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรุนแรงจากขบวนการนักศึกษา มีการเรียกร้องให้ล้มล้างอำนาจรัฐด้วยกำลัง ชนิดที่ฝ่ายที่ฝักไฝ่การต่อสู้อย่างสันติไม่อาจต้านไว้ได้
เมื่อกระบวนการประท้วงของนักศึกษาและคนหนุ่มสาวในเยอรมันทวีการใช้ความรุนแรงขึ้น และบางส่วนที่หมดหวังกับวิธีการสันติ ก็ได้จัดตั้งกันเป็นกองกำลังก่อการร้ายที่รู้จักกันในนาม “กองทัพแดงแห่งเยอรมนี หรือ Red Army Fraction – RAF” ในที่สุด ในขณะที่ฝ่ายที่ยืนยันวิธีการต่อสู้อย่างสันติ ได้ค่อย ๆ พัฒนาการต่อสู้มาสู่การเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยผนวกเข้ากับพรรคการเมือง และบางส่วนได้กลายมาเป็นผู้ก่อตั้งพรรคกรีนไป
อันที่จริง Habermas ปรมาจารย์ทางทฤษฎีสังคมแห่งสำนักฟรังก์เฟิร์ท ในเยอรมัน ได้มองเห็นภัยจากการที่เยาวชนคนหนุ่มสาวของเยอรมันหันมาฝักไฝ่วิธีการต่อสู้ด้วยความรุนแรง หรือถึงขั้นใช้อาวุธ ระเบิด หรือการก่อตั้งขบวนการก่อการร้าย ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยายามหาคำตอบให้แก่แนวทางต่อสู้ด้วยวิธีสันติ ด้วยการเสนอแนวคิดว่าด้วยทฤษฎี “วาทกรรม” ขึ้นตั้งแต่ยุค ๑๙๗๐ และกลายเป็นที่ยอมรับมาถึงปัจจุบัน
ตามทฤษฎีว่าด้วยวาทกรรมของ Habermas กฎเกณฑ์ความประพฤติทางสังคมที่มีลักษณะบังคับ หรือที่เราเรียกว่า “กฎหมาย” นั้น ไม่ได้เกิดจากอำนาจรัฐอย่างเดียว แต่อาจเป็นผลผลิตของ “วาทกรรม” ที่สถาบันทางสังคม หรือผู้นำทางความคิดที่โน้มน้าวคนส่วนใหญ่ในสังคมให้เห็นตาม ผ่านทาง “กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้” ของสังคม ผ่านกระบวนการแย่งชิงเวทีสาธารณะ ในการโต้แย้งถกเถียงด้วยเหตุผล เคารพความคิดเห็นของกันและกันอย่างต่อเนื่องยาวนาน ไม่ข่มขู่ ไม่ยุยงให้เกลียดชัง จนกระทั่งเกิดสำนึกถูก-ผิด คิดไตร่ตรองอย่างมีเหตุผล จนเกิดการตกผลึกเป็นกฎเกณฑ์ความประพฤติที่ดำรงอยู่ในสำนึกของผู้คนได้ เช่นเดียวกัน
ดังนั้นแทนที่จะเคลื่อนไหวต่อสู้เอาชนะกันด้วยกำลังอาวุธ คนหนุ่มสาวในเยอรมันที่เห็นคล้อยตาม Habermas ก็เบนเส้นทางการต่อสู้จากการใช้ความรุนแรง มาสู่กระบวนการเสริมสร้างกระบวนการ “แลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือ Communicative Actions” รณรงค์ให้มีการถกเถียง โต้แย้งกันอย่างสันติ และเสริมสร้าง “อำนาจบังคับจากเหตุผลที่เหนือกว่า” ขึ้นมาแทน
ในแง่นี้กระบวนการวินิจฉัยตัดสินข้อพิพาท ซึ่งไม่จำกัดแต่ข้อพิพาทระหว่างเอกชน แต่รวมถึงข้อพิพาทในเชิงนิตินโยบาย และข้อขัดแย้งทางสังคมที่เกี่ยวกับคนหมู่มากเช่นคดีปกครอง ซึ่งดำเนินการโดยศาลที่มีกระบวนการพิจารณาหรือกติกาที่แน่นอนชัดเจน เปิดเผยต่อสาธารณะ โดยเปิดโอกาสให้คู่กรณีต่อสู้ได้อย่างเต็มที่จึงได้รับการพัฒนาให้กลายเป็น “วาทกรรม” ในแง่ความถูก-ผิด ความตรวจสอบได้ และความรู้จักรับผิดชอบ จนนับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการต่อต้านและการล้มล้างผลพวงของการรัฐประหารจะใช้วิธีรุนแรงหรือวิธีสันติ สาระสำคัญของมันก็ยังคงอยู่ที่การเสริมสร้างพลังทางการเมืองของประชาชนในทางข้อเท็จจริงเป็นรากฐานอยู่นั่นเอง
ยังมีต่อ ๕. ท่าทีของนักกฎหมายและตุลาการไทย
รำลึก ๖ ตุลา: วาทกรรม รัฐประหาร ฉ้อราษฎร์บังหลวง และระบบกฎหมาย (ตอน ๑)
รำลึก ๖ ตุลา: วาทกรรม รัฐประหาร ฉ้อราษฎร์บังหลวง และระบบกฎหมาย (ตอน ๒)