รำลึก ๖ ตุลา: วาทกรรมรัฐประหาร การฉ้อราษฎร์บังหลวง และระบบกฎหมาย (ตอน ๕ - จบ)
๖ . กรณีศึกษาจากตัวอย่างในต่างประเทศ
นอกจากกรณีชิลีและเยอรมันแล้ว ยังมีกรณีประเทศต่าง ๆ อีกมากที่น่าสนใจ และใช่ว่าจะไม่มีศาลในประเทศใดจะเห็นพ้องกับความเห็นที่คณะนิติราษฎร์ได้นำเสนอเอาเสียเลย อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จหรือไม่สำเร็จของศาลในประเทศเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องซับซ้อน และต้องอาศัยความชอบธรรมและความเข้มแข็งทางการเมืองตามข้อเท็จจริงเป็นเครื่องรองรับเสมอ
ตัวอย่างในต่างประเทศมีจำนวนมากจนเราไม่อาจยกมากล่าวได้อย่างทั่วถึงในบทความนี้ และเป็นเรื่องที่ควรจะมีการศึกษาอย่างจริงจังเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ในที่นี้จะนำเอากรณีที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ และน่ายกเป็นตัวอย่างสำหรับการขบคิดต่อไปในบ้านเราสักสองสามกรณี คือกรณีของเยอรมัน กรณีปากีสถาน และกรณีของฟิจิ
๖.๑ เยอรมันตะวันออกกับคดียิงผู้หนีข้ามแดน
เยอรมันตะวันออกในอดีตจัดว่าเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบเผด็จการ และมีการยึดอำนาจโดยกลุ่มการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนจากโซเวียตรัสเซีย และจัดการปกครองแบบประชาธิปไตยรวมศูนย์หรือเผด็จการแบบรวมหมู่ขึ้น ในระหว่างนั้นมีผู้คนจำนวนมากพยายามหนีอำนาจกดขี่ของรัฐข้ามแดนมายังเยอรมันตะวันตกซึ่งปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย ทั้งสองระบอบต่างกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าเป็นเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ หรือเป็นเผด็จการของนายทุน
อย่างไรก็ตามหลังผ่านพ้นไปราว ๔๐ ปี อาณาจักรของเยอรมันตะวันออกก็ล่มสลายลง ตามมาด้วยการสิ้นสุดของระบอบโซเวียตในรัสเซีย ทำให้สงครามเย็นสิ้นสุดลง และประชาชนเยอรมันตะวันออกได้เคลื่อนไหวเรียกร้องให้รวมเยอรมันทั้งสองเข้าด้วยกัน จนสำเร็จลงในที่สุดด้วยการลงมติในรัฐสภาของเยอรมันตะวันออก ยอมรับรัฐธรรมนูญของเยอรมันตะวันตกให้มีผลบังคับในดินแดนของตน
หลังการรวมเยอรมันเข้าด้วยกันก็เกิดปัญหาว่า บรรดาทหารรักษาดินแดนเยอรมันตะวันออกที่ยิงผู้คนล้มตายขณะหนีข้ามกำแพงเบอร์ลินจำนวนหลายร้อยรายนั้น และผู้นำทางการเมืองที่ออกคำสั่ง ต้องรับผิดทางอาญาหรือไม่
ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาต่อสู้ว่า การกระทำของตนเป็นการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดโดยกฎหมายเยอรมันตะวันออก และการตัดสินลงโทษโดยใช้กฎหมายของเยอรมันตะวันตกมาเป็นมาตรฐาน ย่อมเป็นการใช้กฎหมายอาญาย้อนหลัง แต่ศาลยุติธรรมเยอรมันตะวันตกตัดสินว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานฆ่าคนตาย เป็นการใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ เพราะแม้กฎหมายให้คุ้มครองชายแดนโดยใช้อาวุธได้ แต่การคุ้มครองชายแดนโดยฆ่าพลเมืองของตัว เป็นการกระทำที่อยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ของกฎหมาย และขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน
เรื่องนี้ผู้ต้องคำพิพากษาได้ยื่นร้องเรียนต่อศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญยืนตามคำพิพากษาศาลยุติธรรม โดยยืนยันว่าการอ้างว่ากฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลังนั้น อ้างได้เฉพาะในระบอบเสรีประชาธิปไตย ไม่อาจอ้างให้ผู้ถืออำนาจเผด็จการที่ตรากฎหมายขึ้นตามอำเภอใจไม่ต้องรับผิดจากการกระทของตัวได้ อย่างไรก็ดี ผู้ต้องคำพิพากษาก็ยังได้ร้องต่อศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป ซึ่งได้พิพากษาต่อมาว่า คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันชอบแล้ว
ประเด็นน่าสนใจอยู่ที่ว่า ศาลเยอรมันอาจจะพิพากษาว่า กฎหมายของเยอรมันตะวันออก และการปกครองของเยอรมันตะวันออกเป็นการใช้อำนาจเผด็จการ กดขี่ประชาชน ไม่มีรากฐานแบบประชาธิปไตย จึงไม่มีผลบังคับมาแต่ต้น เสียเปล่าไปเลยก็ได้ แต่ศาลยุติธรรมและศาลรัฐธรรมนูญเลือกที่จะถือว่าระบอบการปกครอง และกฎหมายของเยอรมันตะวันออกมีผลบังคับได้ เป็นการยอมรับอำนาจตามข้อเท็จจริง เพียงแต่อำนาจการปกครองต้องอยู่ภายใต้กรอบของความเป็นธรรม ดังนั้นกฎหมายรักษาชายแดนแม้จะให้ใช้อาวุธสกัดผู้หนีข้ามแดน แต่ก็ไม่มีทางให้อำนาจยิงผู้หนีข้ามแดนถึงตายได้
คดีนี้แม้จะมีผู้วิจารณ์ว่าเป็นกรณีใช้กฎหมายอาญาย้อนหลัง และแม้ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันเองก็ตัดสินว่า การใช้กฎหมายย้อนหลังเพื่อรักษาความเป็นธรรมในคดีที่จำเลยฝ่าฝืนหลักการพื้นฐานของกฎหมายที่ยอมรับกันในนานาอารยประเทศย่อมกระทำได้ก็ตาม นักกฎหมายเยอรมันส่วนใหญ่ก็ยอมรับว่า การใช้อาวุธปืนยิงผู้หนีข้ามแดนโดยประสงค์จะให้ตายนั้นเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมายเยอรมันตะวันออกเอง
แต่นั่นมาเกี่ยวพันกับประเด็นของเราตรงที่ว่า ศาลเยอรมันตะวันตกเลือกที่จะไม่ใช้วิธีวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ยึดอำนาจแล้วตั้งตนเป็นเผด็จการในเยอรมันตะวันออก หรือการตรากฎหมายในระบอบนั้นตกเป็นโมฆะเสียเปล่าไป กลับเลือกที่จะยอมรับความมีผลของกฎหมายเหล่านั้น และวินิจฉัยให้ความเป็นธรรมตามเหตุผลของเรื่องเป็นรายคดีไป
๖.๒ ปากีสถานกับการปฏิเสธการยึดอำนาจ
ปากีสถานมีการยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อ ค.ศ. ๑๙๙๙ (พ.ศ. ๒๕๔๒) โดยผู้บัญชาการทหารบกคือนายพลมูชาราฟเป็นผู้นำการยึดอำนาจครั้งนั้น หลังจากนั้นเพียงเดือนเดียวสมาชิกสภานิติบัญญัติซึ่งถูกยุบไปก็ฟ้องศาลเพื่อให้แสดงสิทธิของตนและยืนยันว่าการยึดอำนาจเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อรัฐธรรมนูญ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๐๐ ศาลสูงสุดแห่งปากีสถานก็ได้พิพากษายอมรับว่า การยึดอำนาจเป็นการอันชอบด้วยกฎหมายและชอบธรรม แต่กำหนดเงื่อนเวลาให้คณะทหารที่ยึดอำนาจไว้มีอำนาจปกครองเพียง ๓ ปี
ด้วยเหตุนี้ ในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๒๐๐๒ (พ.ศ. ๒๕๔๕) จึงมีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้น แต่ก่อนจะมีการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีมูชาราฟได้จัดให้มีการลงประชามติเพื่อรับรองให้เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปอีก ๕ ปีโดยเขาได้รับคะแนนรับรองถึงร้อยละ ๙๘ ของผู้ออกเสียงประชามติครั้งนั้น ในขณะเดียวกันเขาก็ยังรั้งตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของปากีสถานด้วย
แต่ฝ่ายตุลาการซึ่งยอมรับความชอบด้วยกฎหมายของการรัฐประหารในตอนต้น ก็ได้กลายเป็นเสี้ยนหนามหรืออุปสรรคของมูชาราฟในเวลาต่อมา เมื่อประธานศาลสูงสุดคนใหม่ได้ปฏิรูปกระบวนการพิจารณาคดีจนคลี่คลายปัญหาคดีคั่งค้างให้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และการส่งเสริมให้พิจารณาคดีอย่างตรงไปตรงมาก็ส่งผลกระทบต่อรัฐบาลในหลายกรณี จนกระทั่งปลายปี ค.ศ. ๒๐๐๖ (พ.ศ. ๒๕๔๙) ศาลปากีสถานได้ออกคำสั่งและพิพากษาคดีหลายเรื่องไปในทางไม่เป็นคุณแก่รัฐบาลของมูชาราฟมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นสั่งให้ส่งรายงานสอบสวนเกี่ยวกับกรณีที่หน่วยสืบราชการลับของปากีสถานมีส่วนพัวพันกับการลักพาตัวราษฎรที่หายตัวไปอย่างลึกลับ และกรณีที่ศาลสั่งระงับการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจเหล็กกล้าของปากีสถานเพราะสงสัยว่ามีเหตุทุจริต เป็นต้น
ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายตุลาการดำเนินไปจนกระทั่งเดือนมีนาคม ค.ศ. ๒๐๐๗ (พ.ศ. ๒๕๕๐) ก็ถึงจุดที่ประธานาธิบดีมูชาราฟเชิญประธานศาลสูงสุดเข้าพบและบีบบังคับให้ลาออกจากตำแหน่ง เมื่อได้รับการปฏิเสธ ประธานาธิบดีมูชาราฟก็อ้างว่าประธานศาลสูงสุดแห่งปากีสถานถูกกล่าวหาว่าประพฤติมิชอบหลายกรณี และแทรกแซงกิจการของฝ่ายบริหาร จึงส่งเรื่องให้ที่ประชุมใหญ่ศาลสูงสุดแห่งชาติปากีสถานดำเนินกระบวนการพิจารณาโทษ โดยให้ควบคุมตัวไว้ในบ้านของตนเอง และมีผลให้ประธานศาลสูงสุดต้องถูกพักจากการดำรงตำแหน่ง
การดำเนินการของประธานาธิบดีมูชาราฟถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงอำนาจตุลาการ และเป็นเหตุให้เนติบัณฑิตยสภาแห่งปากีสถานทำการรณรงค์ให้นักกฎหมายและประชาชนเคลื่อนไหวปกป้องอำนาจอิสระของตุลาการจนเกิดการเดินขบวนขนาดใหญ่ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๐๗ ประชาชนนับล้านพากันเดินขบวนเป็นแถวยาวเหยียดนับร้อยกิโลเมตรเพื่อสนับสนุนประธานศาลสูงสุดของเขา ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ศาลสูงสุดก็ได้ประกาศว่าประธานศาลสูงสุดไม่มีความผิด และสั่งให้กลับเข้าดำรงตำแหน่งเดิมต่อไป
แต่ความขัดแย้งก็ไม่สิ้นสุดลง เพราะต่อมาก็เกิดความขัดแย้งครั้งใหม่ขึ้นเมื่อประธานาธิบดีมูชาราฟได้รับเลือกเข้าดำรงตำแหน่งอีกสมัยหนึ่งในเดือนกันยายน ค.ศ. ๒๐๐๗ (พ.ศ.๒๕๕๐) โดยระหว่างนั้นศาลรับพิจารณาคดีที่มีผู้ฟ้องว่าเขาขาดคุณสมบัติเนื่องจากดำรงตำแหน่งทางทหารในเวลาเดียวกัน ในจังหวะที่ความขัดแย้งเข้าใกล้ภาวะวิกฤติ ศาลสูงสุดของปากีสถานได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้ประธานาธิบดีประกาศภาวะฉุกเฉิน
แต่ในวันเดียวกันนั้นเองประธานาธิบดีมูชาราฟก็อ้างว่าขณะนั้นสถานการณ์การก่อการร้ายในประเทศลุกลามยิ่งขึ้น และฝ่ายตุลาการเข้าแทรกแทรงการใช้อำนาจของรัฐบาลมากขึ้น เขาจึงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน พักใช้รัฐธรรมนูญ และประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองชั่วคราวในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน โดยกำหนดให้ผู้พิพากษาทั้งหมดต้องสาบานตนต่อธรรมนูญการปกครองชั่วคราวนี้ หากขัดขืนไม่สาบานตนก็ต้องพ้นจากตำแหน่งไป ปรากฏว่ามีผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่ยอมเข้าสาบานตนเพียง ๕ นายจาก ๑๘ นาย ซึ่งในกลุ่มผู้ขัดขืนนั้นมีประธานศาลสูงสุดของปากีสถานในขณะนั้นรวมอยู่ด้วย
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๒๐๐๗ หลังจากผู้พิพากษาส่วนใหญ่ที่ขัดขืนการสาบานตัวถูกควบคุมตัวไว้ในบ้านของตน องค์คณะใหญ่ในศาลสูงสุดของปากีสถานก็ตัดสินว่าประธานาธิบดีมูชาราฟไม่ขาดคุณสมบัติที่จะเข้ารับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเพราะเหตุที่เป็นผู้บัญชาการทหาร แต่ต้องลาออกจากตำแหน่งก่อนเข้าสาบานตัวเข้าปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพลเรือน และรับรองว่าการประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นไปโดยชอบ
หลังจากมูชาราฟเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ยอมให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นเมื่อเดือนมีนาคมปี ค.ศ. ๒๐๐๘ (พ.ศ. ๒๕๕๑) ประธานศาลสูงสุดที่ถูกควบคุมตัวไว้ก็ได้รับการปล่อยตัวจนกระทั่งประธานาธิบดีมูชาราฟลาออกจากตำแหน่งในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๒๐๐๘ เนื่องจากจะมีการดำเนินกระบวนการถอดถอนออกจากตำแหน่ง ประธานศาลสูงสุดจึงกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ในศาลอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่ได้กลับเข้าดำรงตำแหน่งประธานศาลสูงสุด เป็นเหตุให้เกิดการเคลื่อนไหวมวลชนเรียกร้องให้เขากลับเข้าดำรงตำแหน่งประธานศาลสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง และในที่สุดก็ได้เข้าดำรงตำแหน่งอีกครั้งในเดือนมีนาคม ค.ศ. ๒๐๐๙
หลังจากนั้นในปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๒๐๐๙ ศาลได้วินิจฉัยว่าการประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๒๐๐๗ เป็นการอันขัดรัฐธรรมนูญ และตกเป็นโมฆะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลดผู้พิพากษาออกจากตำแหน่งโดยอ้างธรรมนูญการปกครองชั่วคราวเป็นการอันมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญและตกเป็นโมฆะ และมีการพิจารณาความผิดผู้พิพากษาที่เข้าสาบานตนว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดอำนาจศาลด้วย ทั้งนี้ต่อมาผู้พิพากษาเหล่านั้นได้ยื่นคำร้องขออภัยต่อศาลและได้รับการให้อภัยในที่สุด
๖.๓ ฟิจิกับการปฏิเสธอำนาจรัฐประหาร
ฟิจิเป็นอีกประเทศหนึ่งซึ่งศาลได้มีบทบาทคัดค้านการรัฐประหารอย่างแข็งขัน หลังจากที่ได้มีการรัฐประหารแล้ว ๓ ปี ศาลอุทธรณ์แห่งฟิจิได้พิพากษาเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. ๒๐๐๙ (พ.ศ. ๒๔๕๒) ว่าการทำรัฐประหารที่นำโดยคณะทหาร และการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. ๒๐๐๖ (พ.ศ. ๒๕๔๙) รวมทั้งการจัดตั้งรัฐบาลทหารในเวลาต่อมา เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และส่งผลให้คณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นโดยอำนาจรัฐประหารยอมรับคำพิพากษาด้วยการลาออกจากตำแหน่งทั้งคณะ
อย่างไรก็ดี ฟิจิก็ต้องเผชิญเหตุเปลี่ยนแปลงในวันถัดจากวันที่ศาลมีคำพิพากษานั้นเองความหวั่นไหวต่อความไม่แน่นอนทางกฎหมายอันเป็นผลจากคำพิพากษานี้ กับความพยายามที่จะรักษาสถานะเดิม ส่งผลให้เกิดการยึดอำนาจขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยประธานาธิบดีของฟิจิซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพได้ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปี ค.ศ. ๑๙๙๗ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ซึ่งใช้บังคับอยู่เวลานั้น แล้วประกาศตั้งอำนาจการปกครองและธรรมนูญการปกครองฉบับใหม่ โดยตนเองเป็นประมุขแห่งรัฐ
และแม้ประธานาธิบดีในฐานะประมุขแห่งระบอบรัฐประหารจะประกาศให้กฎหมายอื่นยังคงมีผลบังคับใช้ได้ต่อไป แต่ก็ไม่ยอมให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป และได้ออกคำสั่งปลดผู้พิพากษาทั้งหมดออกจากตำแหน่ง พร้อมทั้งประกาศว่าจะแต่งตั้งบุคคลที่เหมาะสมเข้าดำรงตำแหน่งเพื่อใช้อำนาจตุลาการตามระบอบการปกครองใหม่ต่อไป อันเป็นการประกาศอย่างแจ้งชัดว่า ศาลไม่มีอำนาจตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการล้มล้างรัฐธรรมนูญและการตั้งอำนาจปกครองขึ้นใหม่อีกต่อไป
หลังจากนั้นประธานาธิบดีจึงประกาศตั้งนายกรัฐมนตรีที่มาจากการรัฐประหารคราวก่อนและเพิ่งลาออกไปตามคำพิพากษา คือนายพลแฟรงค์ ไบนีมาราม่า (Frank Bainimarama) กลับเข้าดำรงตำแหน่งใหม่อีกครั้งหนึ่ง และประกาศจะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายในปี ค.ศ. ๒๐๑๔
กรณีของฟิจินี้แตกต่างจากกรณีของปากีสถานอย่างมีนัยสำคัญตรงที่ในกรณีของปากีสถาน องค์กรจัดตั้งของนักกฎหมาย ได้ร่วมกับองค์กรเอกชนจำนวนมากคานอำนาจของกองทัพและสนับสนุนฝ่ายตุลาการอย่างเข้มแข็ง ในขณะที่ในฟิจิยังขาดองค์กรจัดตั้งที่มีพลังพอจะคานอำนาจของกองทัพได้
๗. บทสรุป
จากกรณีตัวอย่างในปากีสถานและฟิจินี้ เราอาจจำต้องยอมรับว่า การต้านรัฐประหารไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว และขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์เชิงอำนาจและเชิงคุณค่าอันเป็นผลมาจากความสัมพันธ์ทางข้อเท็จจริงทางสังคมที่ดำรงอยู่ในแต่ละสังคม ดังคำสอนของเซอร์ จอห์น ซัลมอนด์ (Sir John Salmond) ที่กล่าวไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๒๔ ในตำรา Jurisprudence อันเลื่องชื่อของเขาว่า
“รัฐธรรมนูญในฐานะกฎเกณฑ์อันเกิดมีขึ้นตามความสัมพันธ์ทางข้อเท็จจริงนั้นย่อมดำรงอยู่ก่อนรัฐธรรมนูญที่ตราขึ้นในรูปบทกฎหมาย... และกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นแท้จริงแล้วก็คือกฎเกณฑ์ที่ตราขึ้นบนฐานแห่งประเพณีการปกครองทางข้อเท็จจริงนั่นเอง” พูดง่าย ๆ ได้ว่า สังคมเป็นอย่างไร รัฐธรรมนูญก็เป็นอย่างนั้น
การล้มล้างผลพวงของรัฐประหารที่อาศัยแนวคิดเชิงอุดมคติ โดยปราศจากพลังบังคับอันมีฐานที่ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงทางสังคมที่มั่นคงย่อมเป็นไปได้ยาก ไม่ว่าจะการต้านรัฐประหารนั้นจะกระทำโดยฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายตุลาการ หากไม่มีพลังทางสังคมของประชาชนหนุนหลังก็ย่อมไม่สำเร็จ เพราะการรัฐประหารย่อมฟื้นขึ้นมาได้ใหม่ตราบเท่าที่เชื้อของการรัฐประหารยังคงดำรงอยู่ การตราไว้ในรัฐธรรมนูญว่าการยึดอำนาจเป็นความผิดจึงไม่อาจห้ามมิให้การรัฐประหารเกิดขึ้นได้ จริงอยู่แม้ฝ่ายตุลาการในหลายประเทศจะได้เข้าอาสารับภารกิจนี้ด้วยการประกาศว่าการยึดอำนาจการปกครองโดยวิถีทางนอกรัฐธรรมนูญเป็นการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมาย แต่นั่นก็ต้องอาศัยความเชื่อมั่นในความถูกต้อง และความกล้าหาญอย่างยิ่ง รวมทั้งต้องมีฐานสนับสนุนของประชาชนอย่างมั่นคงเพียงพอ
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์เป็นพยานให้เราเห็นแล้วว่า ผู้ทำรัฐประหารมักอ้างเหตุจำเป็นหรือความอยู่รอดของชาติเป็นเกราะกำบังเสมอ การชี้ขาดลงไปว่าการยึดอำนาจใดไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงต้องชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบด้วยเหตุผลของการกระทำเช่นนั้นด้วยเสมอ การต่อต้านการยึดอำนาจหรือรัฐประหารจึงต้องอาศัยความเข้มแข็งและความยึดมั่นต่อการปกครองโดยกฎหมายและโดยเหตุผลของสังคมเป็นรากฐาน สถาบันใดก็ตามที่จะรับภารกิจในการต่อต้านรัฐประหารจึงต้องตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความเชื่อถือไว้วางใจ และได้รับการสนับสนุนจากองค์กรภาคสังคมและประชาชนอย่างแท้จริง
ในแง่นี้ความเห็นของคณะนิติราษฎร์ควรได้รับการสนับสนุน ในฐานะที่เป็นเครื่องกระตุ้นให้คนในสังคมได้ออกความคิดเห็นในเรื่องส่วนรวม โต้เถียงกันอย่างจริงจังด้วยความเป็นมิตร ที้งนี้ก็เพื่อหาข้อสรุปให้ได้ว่า การรัฐประหารที่จำเป็นต้องกระทำเพื่อรักษาความเป็นธรรมหรือรักษาความถูกต้องนั้น เราจะยอมให้มีได้หรือไม่ การรัฐประหารเพื่อหยุดยั้งการทำลายสันติภาพ หยุดยั้งความหายนะที่จ่อคอหอยของชาติ หรือหยุดยั้งความล่มสลายของรัฐ จนต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งลงไป แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ยอมรับได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นนั้นจะมีได้หรือไม่?
แน่นอนที่สุดว่าการยึดอำนาจรัฐเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ส่วนตัว หรือของคนเฉพาะกลุ่ม โดยไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะยอมรับได้ ปัญหาก็คือ การยึดอำนาจนั้นผิดในตัวมันเอง หรือผิดเพราะมีมูลเหตุจูงใจที่ไม่ชอบ ถ้าผิดในตัวเอง การยึดอำนาจในระบอบการปกครองที่เป็นอธรรม ไม่ว่าจะเป็นการยึดอำนาจของพันธมิตรเหนือเยอรมันและญี่ปุ่น การพยายามทำรัฐประหารฮิตเล่อร์ของคณะนายทหารเยอรมันก่อนสิ้นสุดสงครามโลก หรือการโค่นล้มระบอบการปกครองที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลายจะมีได้อย่างไร และอะไรคือสิ่งพึงประสงค์ในการล้มล้างผลพวงของการรัฐประหารอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ดี หากคณะนิติราษฎร์หยุดอยู่เพียงแค่การเสนอให้ตรากฎหมายเพื่อล้มล้างผลพวงการรัฐประหารที่ไม่ชอบธรรม โดยไม่ได้เพ่งเล็งไปที่การสร้างเสริมอำนาจของประชาชนบนรากฐานแห่งความมีเหตุผลและการรักษาความเป็นธรรมอย่างแน่วแน่และยาวนานแล้ว ความคิดริเริ่มนี้ก็จะกลายเป็นเพียงการแสดงความไฝ่ฝันที่ไม่สามารถแปรให้เป็นจริง ไม่ต่างอะไรกับการเรียกร้องให้กำจัดยาเสพติด ขจัดการข่มขืนกระทำชำเราด้วยการเพิ่มโทษหนัก หรือลบล้างความยากจนด้วยการตรากฎหมายให้ประโยชน์ผู้มีรายได้น้อยโดยไม่มีโครงสร้างยกระดับการศึกษาและการพัฒนาตนเองอย่างจริงจัง และหากคณะนิติราษฎร์ขาดความระมัดระวัง หรือไม่กระตือรือร้นอย่างเพียงพอในการกำจัดความคิดที่ผิดพลาด ไม่ต่อสู้กับความคิดที่ฉวยโอกาสหาประโยชน์โดยยกประชาชนขึ้นบังหน้าอย่างพอเพียง คณะนิติราษฎร์ก็จะกลายเป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งของผู้ฉกฉวยโอกาสทางการเมืองเท่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไร การเสนอข้อคิดเห็นที่เปิดเผยจริงใจของคณะนิติราษฎร์ ก็ควรได้รับการคารวะในแง่ที่ช่วยให้สังคมไทยได้หวนคิดไตร่ตรองในเรื่องส่วนรวมอันสำคัญอย่างจริงจัง