โจทย์...เศรษฐกิจปี 55 ความท้าทายนักธุรกิจไทย
แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2555 จะเป็นอย่างไร ? คงต้องพิจารณาจากอดีตที่ผ่านมา ปลายปี 2554 เศรษฐกิจไทยถูกโจมตีจากมหาอุทกภัยอย่างหนัก สร้างความเสียหายให้กับภาคธุรกิจอย่างมหาศาล ฉุดจีดีพีของประเทศเหลือไม่ถึง 2 % ตามที่สำนักต่างๆ คาดการณ์กัน
ต้นปี 2555 ถือเป็นช่วงของการฟื้นฟูประเทศ ทางธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินไว้ว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะโตประมาณ 4.8 % ในปีดังกล่าว
ซึ่งข้อเท็จจริงตัวเลขจะเป็นเท่าไร คงต้องดูปัจจัยต่างๆ ที่เป็นตัวแปรสำคัญเป็นองค์ประกอบ ตั้งแต่การดำเนินนโยบายของรัฐบาล แนวโน้มการบริโภคของประชาชน การจับจ่ายใช้สอยของประชาชน เพราะที่ผ่านมาการบริโภคของประชาชนมีความสำคัญมากถึง 55 เปอร์เซ็นต์ในการกระตุ้นจีดีพีของประเทศ
ในปีหน้าประชาชนส่วนใหญ่ต้องซ่อมบ้าน ต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ทั้งทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เพราะถ้าดูจากที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมมีประมาณ 600,000-700,000 เครื่องที่ต้องโล๊ะทิ้ง จึงคาดว่าจะมีการจับใช้จ่ายสอยในส่วนนี้มากขึ้นแน่นอน
อีกตัวแปรหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ การลงทุนของภาคเอกชนหรือว่าตัว I (Investment) ตรงนี้ในปีหน้าน่าจะมีการลงทุนใหม่เพิ่มขึ้น เพราะจะมีการฟื้นฟูโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มากกว่านั้นบางโรงงานยังมีที่จะย้ายไปอยู่ในพื้นที่อื่นของประเทศเพื่อหนีปัญหาน้ำท่วม ดังนั้นจึงต้องมีการลงทุนใหม่เกิดขึ้น
สิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง
สำหรับตัวแปรที่เชื่อว่ามีบทบาทมากที่สุดในการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ คือ การใช้จ่ายของรัฐบาลซึ่งปกติจะมีน้ำหนักประมาณ 14-15% แต่ในปีหน้านี้จะมีน้ำหนักมากขึ้นเพราะงบประมาณส่วนหนึ่งต้องนำมาจ่ายในเรื่องการให้เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากน้ำท่วมครัวเรือนละ 5,000-10,000 บาท และการซ่อมแซมกิจการสาธารณูปโภคที่ถูกกระทบจากภัยธรรมชาติดังกล่าว
อีกส่วนหนึ่ง คือ การลงทุนป้องกันไม่ให้เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เกิดขึ้นอีกในปีหน้า หรือหากเกิดก็ให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด ตรงนี้จึงเป็นอีกจุดหนึ่งที่จะทำให้การลงทุนในส่วนของภาครัฐมีการขยายตัวอย่างมีนัยยะสำคัญ
สำหรับตัวแปรที่น่าเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจในปีหน้า คือ เรื่องของการส่งออกซึ่งในปีนี้เติบโตประมาณ 15-16 % แต่ในปีหน้ามีความเป็นไปได้สูงว่าตัวเลขจะปรับลดลงมาเหลือเพียงหลักเดียวเท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจโลกมีปัญหา เพราะทั้งยุโรปและอเมริกาเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่มากของเอเชีย ประเทศไทยจะส่งออกสินค้าไปขายในจีน ญี่ปุ่นได้ในจำนวนมากก็ต่อเมื่อประเทศเหล่านี้มีการส่งออกไปยุโรป อเมริกาในปริมาณที่สูง ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจโลกมีปัญหาก็ทำให้การส่งออกของประเทศแถบเอเชียชะลอตัวลง เป็นปรากฏการที่เกิดขึ้นชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2554 เพราะตัวเลขเริ่มติดลบ อันเป็นผลจากห่วงโซ่อุปทาน ไม่ว่าจะเป็นการผลิตในจีนลดลง การส่งออกในจีนชะลอตัวลง ในขณะที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ก็มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้พลังของการส่งออกซึ่งในอดีตช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากถึง 70 % ของจีดีพี ก็อาจจะลดลงไปอย่างมาก ยิ่งในปีหน้านี้เศรษฐกิจในโซนอเมริกาและยุโรปยังคงตกต่ำต่อเนื่อง อเมริกาจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ ในยุโรปก็ไม่แตกต่างกันมีการเลือกตั้งในหลายแห่งทั้ง รัฐเซีย กรีก อิตาลี
เมื่อสถานการเป็นเช่นนี้ รัฐบาลหรือผู้ที่เกี่ยวข้องจึงต้องหาวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจ เหมือนกับที่โอบาม่า ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้อัตราการว่างงานในประเทศลดลง โดยใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ (QE) อัดฉีดเงินออกมา ซึ่งตอนนี้มีตั้งแต่ QE1 QE2 และQE3
ด้านยุโรปก็ใช้วิธีการเดียวกับสหรัฐอเมริกา คือ เพิ่มปริมาณเงิน พิมพ์แบงค์ออกมากเพื่อทำให้สถานการณ์ต่างๆ นิ่ง ทำให้มีเงินออกมาหมุนเวียนในวงจรเศรษฐกิจโลกมากขึ้น และเงินจำนวนมากก็ไหลเข้ามาในแถบเอเชีย เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเอเชียเวลานี้ดีกว่าที่อื่นๆ เงินเหล่านี้ไปดันให้ตลาดเงิน ตลาดทุนมีการขยายตัวมากขึ้น เช่น ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ซึ่งก็มีส่วนช่วยกระตุ้นจีดีพีของประเทศให้กระเตื้องมากขึ้น
เมื่อหุ้นขยายตัว ผู้ประกอบการก็สามารถที่จะระดมทุนเพื่อนำมาขยายการลงทุนได้เพิ่มมากขึ้น ตรงนี้นอกจากจะช่วยลดต้นทุนของเงินลงทุนแล้วยังช่วยเพิ่มรายได้ให้กับผู้ที่มาลงทุนในตลาดหุ้นไปพร้อมๆ กันด้วย ทำให้คนเหล่านี้มีพลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น การจัดเก็บภาษีของภาครัฐก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนั้นยังมีตัวแปรที่สำคัญที่ส่งผลให้การผลิตชะลอตัว คือ การที่คนส่วนหนึ่งของประเทศรัดเข็มขัด เนื่องจากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เงินส่วนหนึ่งนำใช้จ่ายในการปรับปรุงบ้านเรือน ดังนั้นทำให้ในส่วนของการจับจ่ายซื้อสินค้าอย่างอื่นอาจจะลดลง เช่น เสื้อผ้า สินค้าฟุ่มเฟื่อยต่างๆ
ด้านผู้ประกอบการ ส่วนหนึ่งอาจจะมีการลงทุนใหม่ทันที แต่อีกด้านหนึ่งอาจจะชะลอรอดูแผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลก่อนว่าเป็นอย่างไร เพื่อวางแผนลงทุนในทิศทางที่ถูกต้องยิ่งขึ้น
จากการประมวลสถานการณ์ทั้งหมด ดูปัจจัยบวกและลบต่างๆ จึงคาดว่า จีดีพีของประเทศในปี 2555 จะปรับขึ้นจากปี 2554 เป็น 4-5 % เพราะตัวแปรหลายๆ ตัว ที่คาดว่าจะเลวร้ายในแง่ของเศรษฐกิจโลกบางทีอาจจะไม่รุนแรง เพราะสหรัฐและยุโรปกำลังแก้ไขปัญหาอยู่
สิ่งที่น่าห่วงในปีหน้าคือเรื่องของปัญหาแรงงานประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีแนวโน้มที่จะกลับบ้านสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะแรงงานพม่า เพราะวันนี้พม่าเริ่มตั้งหลักได้แล้ว กลายเป็นประเทศเนื้อหอม ทุนต่างชาติจำนวนมากไหลเข้าไปในลงทุนในประเทศพม่าอย่างรวดเร็วในขณะที่รัฐบาลพม่าก็ได้ปรับมาตรการต่างๆเพื่อจูงใจให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนในประเทศพม่าได้คล่องตัวมากขึ้น
เมื่อมีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ความต้องการแรงงานก็เพิ่มสูงขึ้น แรงงานพม่าที่เคยเข้ามาทำงานในประเทศไทย เช่น ในโรงงานแปรรูปอาหาร สิ่งทอ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือธุรกิจบริการอื่นๆ จึงเป็นแรงงานฝีมือที่พม่าต้องการ ดังนั้นแรงงานพม่าจึงมีแนวโน้มที่จะกลับไปทำงานในประเทศตัวเองมากขึ้น
ซึ่งเวลานี้ไม่ใช่เฉพาะแรงงานพม่าเท่านั้นที่จะกลับบ้านแต่แรงงานที่มาจากเวียดนาม เขมร ลาว ต่างมีแนวโน้มกลับเหมือนกัน เพราะวันนี้เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
สิ่งเหล่านี้เป็นความท้าทายของนักธุรกิจไทยที่จะต้องเตรียมรับมือในอนาคตอันใกล้ เศรษฐกิจไทยต้องเปลี่ยนจากเศรษฐกิจการผลิต(Production based economy) เป็นเศรษฐกิจที่อิงกับภาคบริการ(Service based economy) เช่น การค้าปลีก โลจิสติกส์ เฮลแคร์ฯลฯ ความต้องการแรงงานภาคบริการย่อมเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ถ้าผู้ประกอบการไม่สามารถรักษาแรงงานของตนเองไว้ได้ธุรกิจของไทยก็จะมีปัญหา
เพราะฉะนั้นวันนี้ไม่ต้องมานั่งเถียงกันว่าค่าแรงควรจะเป็น 300 บาทหรือเท่าไหร เพราะไม่มีประโยชน์ขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการจะดูแลแรงงานเหล่านี้อย่างไรให้ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงขึ้น
สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์เองในขณะนี้จึงได้เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้สอดคล้องกับแนวโน้มของเศรฐกิจไทยที่กำลังมุ่งไป โดยนอกจากจะมีนโยบายเปิดสาขาวิชาใหม่ๆ เพิ่มขึ้นแล้วยังเพิ่มความเข้มข้นของสาขาวิชาที่มีอยู่แล้ว เช่น ค้าปลีก โลจิสติกส์ ธุรกิจอาหาร ภาษาจีนธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป