โอนภาระหนี้กองทุนฟื้นฟูให้ ธปท. ภาคต่อวิกฤตต้มยำกุ้ง รบ.จิ๋ว–ทักษิณ
ผมอาจจะเป็นผู้ที่ติดกังวลผูกพันกับวิกฤตต้มยำกุ้งค่อนข้างมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมเกือบจะต้องตกงาน และหวาดหวั่นว่า ประเทศจะต้องล้มละลายไปเลยหรือไม่ ?
ในยุคนั้น ผมเป็นหนึ่งในชาวสีลมที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลบิ๊กจิ๋ว และประท้วงให้หยุดทำลายชาติเสียที จำได้ว่าช่วงนั้น นายกรัฐมนตรีก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกัน ปิดสถาบันการเงิน 10 แห่งแล้วกลายเป็น 16 แห่ง และ เพิ่มอีก 42 แห่งตามลำดับ โดยไม่มีมาตรการรองรับที่ครบถ้วน เกือบจะทำให้สถาบันการเงินและธนาคารทรุดกันไปทั้งระบบ
แล้วแล้วรัฐบาลในยุคนั้น ก็ตัดสินใจเข้าไปรับหนี้สถาบันการเงินที่มีปัญหามาเป็นภาระหนี้ของภาครัฐเป็นแสนๆล้านบาท นอกจากนั้น ยังมีประเด็นเรื่องการบริหารอัตราแลกเปลี่ยน จนกองทุนสำรองระหว่างประเทศเหลือสุทธิเพียง 7 พันล้านเหรียญ แล้วนายกฯ บิ๊กจิ๋ว กับรองนายกฯทักษิณ ก็ลาออกพร้อมๆกัน
มาวันนี้ จู่ๆ รัฐบาลก็มีความคิดนวตกรรมใหม่ ให้ปลดหนี้กองทุนฟื้นฟูฯจากหนี้ภาครัฐ แต่โอนให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับแทน มีหลายเรื่องที่ผมขอแสดงความเห็น หวังว่าประชาชนจะได้รับความเข้าใจที่ถูกต้อง
1. ทุนสำรองฯไม่ใช่เอาไว้ใช้ตามใจใคร : การที่นักวิชาการอาวุโสฝ่ายรัฐบาลให้เหตุผลต่อสาธารณชนว่า ในรายการ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน ว่า “เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย มีความเข้มแข็งด้านการเงิน เป็นอันดับ17 ของโลก ถึง 1 แสน 8 หมื่น 3 พันล้านบาท” เป็นเรื่องอันตรายยิ่ง ที่จะนำไปสู่วิกฤตได้ เพราะอาจทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิดว่า เงินสำรองระหว่างประเทศนั้นย่อมเอาใช้จัดการภาระหนี้นี้ได้ ทั้งๆที่เงินเหล่านี้ จริงๆแล้วต้องเตรียมไว้ให้รองรับความต้องการซื้อสกุลเงินต่างประเทศด้วยเงินบาท ผู้นำเข้า ผู้ปล่อยสินเชื่อ นักลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ด้วยสกุลเงินต่างประเทศ พวกเขามีสิทธิ์ที่จะได้สกุลเงินต่างประเทศที่สำรองไว้ไป ทุกวันนี้ ยอดทุนสำรองฯสูงเป็นอันดับที่ 17 ของโลกก็น่าภูมิใจ แต่ยอดสินทรัพย์ในมือสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศก็เป็นยอดสูงมากๆ หากใช้ไปจนเมื่อเขาต้องการเอาเงินบาทมาแลกสกุลเงินต่างประเทศ แล้วเราไม่มีให้เขา ก็เกิดวิกฤตความน่าเชื่อถืออีกได้
2. ถ้าจะให้ไว้ใจนักการเมือง เข้าแทรกแซง ธปท.ตามใจ หรือจะรอให้ประเทศอาจพบวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ ? : ยังมีคำพูดที่ไม่ให้ความเป็นธรรมกับธนาคารแห่งประเทศไทยอีกว่า “ถ้าปิดประตู ถ้าไม่ให้ รมว.คลัง ทำอะไรได้ แบงก์ชาติ (ธปท.) ก็เป็นรัฐอิสระ และชอบพูดให้สังคมไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ขัดหลักประชาธิปไตย เพราะรัฐมนตรี นักการเมือง มาจากประชาชน แบงก์ชาติไม่ได้มาจากประชาชน แต่มาพูดให้ไม่ไว้วางใจนักการเมือง” (เพราะในการออกทีวีกับประชาชนด้วยคำพูดโจมตีที่ล่อแหลมเช่นนี้ ก็ควรให้มีโอกาสใช้สิทธิพาดพิงได้ด้วยจึงจะเป็นธรรม)
ผมยังจำได้ว่า การแทรกแซงสถาบันการเงินในยุคนั้น ในธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ สถาบันการเงินหลายแห่งที่คนในวงการก็รู้สึกไว้ใจไม่ได้ ก็มักจะมีเส้นสาย “นักการเมือง” เข้าแทรกแซงเกี่ยวข้อง การเบิกเงินช่วยเหลือจากธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงนั้น ก็มักจะมาจากสถาบันที่มีเส้นสายกับผู้มีอำนาจขณะนั้น
การสั่งปิดสถาบันการเงิน จนเอกชนเองที่ยังไม่เป็นปัญหา ก็กลายเป็นเป็นปัญหา เพราะเงินกู้ก็เบิกไม่ได้ หลายโครงการไม่สามารถทำต่อได้จนจบ
ปัญหาสถาบันการเงินช่วงนั้น ก็คล้ายๆวิกฤตการเงินในสหรัฐอเมริกา หรือในยุโรปในปัจจุบัน มันเป็นวิกฤตที่หลายๆฝ่ายก็ยอมรับว่ามีส่วนร่วม ประชาชน เอกชน กู้เงินเกินตัว ใช้จ่ายเกินตัว เก็งกำไรเกินตัว หลายคนซื้อบ้านหลายหลัง กู้เงินเก็งกำไรหุ้น ฯลฯ จนถึงวิกฤตเกิดภาระหนี้เกินตัวทั้งระบบมากมาย
การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลคือ ต้องให้ระบบสถาบันการเงิน กลับมาทำงานได้ เอื้อให้ธุรกิจเอกชนกลับมาทำงานได้เหมือนเดิม รัฐบาลก็ต้องตัดสินใจ รับหนี้สถาบันการเงินเหล่านั้น ออกมาจากระบบ เพื่อให้ประชาชนที่ฝากเงินนั้น ยังมีโอกาสได้รับเงินคืน จะได้กลับไปใช้จ่ายกันต่อได้
เรื่องนี้ ไม่ควรที่จะพูดว่า เป็นเรื่องที่เกิดจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และควรให้ ธปท. ต้องรับภาระเลย
ก็เหมือนกรณีน้ำท่วม ประชาชนมากมายที่ต้องจมน้ำ ส่วนหนึ่งเกิดจากนโยบายการเก็บน้ำและปล่อยน้ำในเขื่อนผิดพลาด ส่วนหนึ่งเกิดจากการกำกับผังเมืองผิดพลาด มีโครงการต่างๆมากมายเข้าไปพัฒนาในพื้นที่สำหรับน้ำผ่าน (Flood Ways) ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องการช่วยเหลือประชาชนที่ไม่อยากให้เสียหาย
ถ้ารัฐบาลไม่ช่วย ประชาชนที่เสียหายจากน้ำท่วมก็อาจไม่มีความสามารถดำเนินชีวิตปกติได้เหมือนเดิม อาจทรุดไปเลย อาจไม่สามารถจับจ่าย และอาจทำให้เศรษฐกิจส่วนอื่นก็ต้องทรุดตามไปด้วย รัฐบาลจึงต้องช่วย
แต่ต้องกู้เงินมาช่วยนั้น จะให้เป็นหนี้ของกรมชลประทานหรือ ? จะให้เป็นหนี้ของหน่วยงานด้านผังเมืองหรือ ? หรือจะให้เป็นหนี้ของประชาชนผู้ประสบภัยฯ ? ในที่สุด เป็นการตัดสินใจของรัฐบาล ที่ใช้ภาษีประชาชน เพื่อรักษาเศรษฐกิจก็เพื่อประชาชนเองนั่นแหละ
ย้อนไปสมัยวิกฤตต้มยำกุ้งก็เช่นกัน ถ้าไม่ช่วย ประชาชนฝากเงินผู้บริสุทธิ์ก็อาจสะดุด อาจไม่มีกำลังซื้อ จึงต้องตัดสินใจช่วย และไม่ใช่ปล่อยให้เป็นภาระ ธปท. เพราะ ธปท. ต้องมีฐานะการเงินที่แข็งแรง จึงมีกำลังที่จะช่วยดูแลอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้ผันผวนเกินไป แทรกแซงตลาดเงินตลาดทุนเพื่อให้มีสภาพคล่องและอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม
การช่วยกู้วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ เป็นหน้าที่รัฐบาลอยู่แล้ว และเครื่องมือที่ใช้ก็คือภาษีของประชาชน เช่นเดียวกับ การใช้ภาษีช่วยแก้วิกฤตน้ำท่วม และเช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และ ประเทศในยุโรป ก็มียอดหนี้สาธารณะของ “รัฐ” (ขอย้ำว่าไม่ใช่ของธนาคารชาติ) จึงเพิ่มสูงขึ้นมาก เพื่อใช้แก้ไขปัญหาวิกฤตการเงิน
การโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย จึงไม่มีเหตุผลอันควร และดูจะไม่มีเหตุผลอื่น นอกจาก “การซุกหนี้” คล้ายๆ “การซุกหนี้กองทุนน้ำมัน” เพียงหวังว่า จะกู้เพิ่มได้ และผลักภาระการรักษาวินัยทางการเงินไปให้รัฐบาลอื่นเท่านั้น !
จะให้ไว้ใจนักการเมือง สิ่งที่คาใจ ก็คือการกระทำของนักการเมือง ดังคำพูดนักการเมืองกันเอง ตามที่นายเสนาะเทียนทองเคยพูดว่า “วันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กับประธานรัฐสภาที่เพิ่งหมดวาระไปไปหาหัวหน้าจิ๋ว คุยกุ๊กกิ๊กอะไรตนไม่รู้ แล้วในที่สุดให้ นายทนง พิทยะ มาเป็น รมว.คลัง เข้ามาไม่กี่วันก็ลอยตัวค่าเงินบาท จาก 26 บาท ขึ้นเป็น 50 บาท พี่น้องคนไทยเจ๊งเป็นเอ็นพีแอลทั้งประเทศ พอเสร็จภารกิจก็ลาออกเลย มาจัดตั้งรัฐบาลใหม่” ด้วยปริศนากองทุนวินมาร์ค เงินซุกต่างประเทศที่ซื้อทีมฟุตบอล ฯลฯ ก็ทำให้คำพูดครั้งนั้นของท่านเสนาะ เลขาฯพรรค ทรท. คนแรกยิ่งน่าเชื่อถือ
สรุปว่า ถ้าจะให้ไว้ใจนักการเมือง แล้วจะให้รอประเทศให้ประสบวิกฤตเศรษฐกิจกันอีกครั้ง เช่นนั้นหรือครับ ??