“เดอะอันวาร์แฟกเตอร์” กับอนาคตมาเลเซีย (2)
อันวาร์ อิบราฮิม เดินออกจากที่ทำการศาลชั้นต้นประจำรัฐสลังงอร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาด้วยความดีใจแบบไม่คาดฝัน พร้อมๆกับฝูงชนผู้สนับสนุนนับพันที่แยกย้ายกันกลับบ้านแบบมึนๆ กับข่าวดีที่สวนทางกับอารมณ์เตรียมรับข่าวร้ายที่ “บิ้ลท์” มาจากบ้านเมื่อคืนที่ผ่านมา
แต่หลังจากชัยโยโห่ฮิ้วกันพอหอมปากหอมคอ ขาลุ้นทั้งหลายก็ต้องกลับมาเผชิญหน้ากับความจริง แล้วลุ้นต่อไปว่าคดี “ตุ๋ย 2” นี้จะจบได้จริงหรือเปล่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่อัยการผู้ยื่นฟ้องอันวาร์ออกมาเปรยๆว่า เรื่องนี้อัยการสูงสุดผู้มีอำนาจพิจารณาอุธรณ์น่าจะดำเนินการต่อไป... โอ๊ยโย่ว! (อุทานแบบกวางตุ้ง)
คงไม่ต้องบรรยายว่าปฏิกิริยาจากฝ่ายค้านเป็นอย่างไร ในขณะเดียวกัน ชาวบ้านร้านช่องผู้สนับสนุนพรรคฝ่ายค้านบางรายก็ใช้ช่องทางสื่ออีเลคโทรนิกส์ซัดท่านอัยการแบบเจ็บๆแสบๆ
เช่นรายหนึ่งบอกว่า “การหาความยุติธรรมให้กับบั้นท้ายของคนๆหนึ่งซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานทางการแพทย์ใดๆที่พิสูจน์ว่าเขาถูกล่วงล้ำก้ำเกิน ดูเหมือนจะเป็นวาระสำคัญระดับชาติมากกว่าการหาความยุติธรรมให้กับเหยื่อคดีฆาตกรรมไปแล้ว..”
แต่ไม่ว่าอัยการสูงสุด (ผู้เป็นคนยื่นฟ้องอันวาร์ในคดีตุ๋ยภาคแรก) จะสั่งอุทธรณ์หรือไม่ เวลานี้กลุ่มพรรคฝ่ายค้านกำลังคึกคักลุกขึ้นมาผัดแป้งแต่งตัวเตรียมลงสนามเลือกตั้งทั่วไปที่คาดมาจะมาถึงในปีนี้
อันที่จริงรัฐบาล มีเวลาถึงปีหน้ากว่าจะหมดวาระ แต่ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วนั้น มักจะประกาศการเลือกตั้งก่อนหมดวาระโดยขึ้นอยู่กับความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองของตน มาเลเซียเริ่มมีข่าวลือเรื่องการเลือกตั้งมีมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ปรากฏว่ารัฐบาลนาจิบ ราซัค กลับถูกตีกินไปจากฝ่ายค้านไปไม่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเดินขบวนครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ที่ทำเอานายกฯเสียหน้าไปหลายศอก
กลุ่มพรรคฝ่ายค้านที่เรียกกันสั้นๆว่า “พีอาร์” (PR ย่อมาจาก Pakatan Rakyat) อันแปลว่า “แนวร่วมประชาชน” เป็นการรวมตัวกันของพรรคฝ่ายค้านสามพรรคใหญ่คือ พรรค “พีเคอาร์” (PKR: People's Justice Party) ซึ่งมีนายอันวาร์เป็นผู้นำอย่างไม่เป็นทางการ, พรรค “ดีเอพี” (DAP: Democratic Action Party) นำโดยผู้เฒ่า ลิม กิต เสียง นักการเมืองรุ่นเก๋าพอๆกับมหาเธร์ โมฮัมหมัด และพรรค “พาส” (PAS: Pan-Malaysian Islamic Party) ที่รู้จักกันดีแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้ของบ้านเรา และขณะนี้นำโดยนาย ฮาดี อาหวัง โดยมี นิก อาซิซ เป็นผู้นำทางจิตวิญญาน
กลุ่มพรรคฝ่ายค้านก็เหมือนๆกับกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลที่เรียกกันว่า “บีเอ็น” เนื่องจากมีโครงสร้างที่สะท้อนพื้นฐานทางการเมืองของมาเลเซียแบบที่ไม่เหมือนกับประเทศใดทีภูมิภาค นั่นก็คือการเมืองที่วางอยู่บนฐานของการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ ซึ่งสร้างปัญหานานับประการมานับแต่ก่อตั้งประเทศ ในกลุ่มฝ่าค้านนั้น พรรคดีเอพีมีคนจีนเป็นฐานเสียงสำคัญ ในขณะที่พรรคพาสเป็นตัวแทนของชาวมลายูมุสลิมอย่างชัดเจน
จะมีเพียงพรรคพีเคอาร์ของอันวาร์เท่านั้นที่อาจหาญชูประเด็นการเป็นผู้แทนของทุกเชื้อชาติ แต่เนื่องจากเป็นพรรคเกิดใหม่ด้อยประสบการณ์ อีกทั้งผู้นำตัวจริงต้องวิ่งเข้าวิ่งออกระหว่างเรือนจำและศาล ทำให้พีเคอาร์ต้องระหกระเหินอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่วายชนะเลือกตั้งเข้าเป็นรัฐบาลในรัฐใหญ่ๆ เช่นรัฐสลังงอร์ใกล้เมืองหลวง ทำเอาอดีตเอ็นจีโอยากจนที่ลงสมัครสส.ในนามพรรคกลายมาเป็นรัฐมนตรีแบบไม่ได้ตั้งตัวกันหลายคน ..
ช่วงเวลาระหว่างการเลือกตั้งครั้งที่แล้วในปี 2551 ถึงปัจจุบัน กลุ่มฝ่ายค้านต้องดิ้นรนปรับตัวเข้าหากันไม่น้อย โดยเฉพาะในเรื่องจุดยืนทางเชื้อชาติและศาสนา พรรคที่คิดหนักที่สุดคือพรรคพาส ซึ่งครั้งหนึ่งเคยประกาศนโยบายทำมาเลเซียให้เป็นรัฐอิสลาม ต้องพิสูจน์ตัวเองต่อผู้สนับสนุนชาวมาเลเซียเชื้อชาติอื่นๆว่า พรรคของตนไม่ได้เล่มเกมเดียวกับพรรคอัมโนของรัฐบาลที่พวกเขาเห็นว่าใช้วิธีกีดกันคนเชื้อชาติอื่นเพื่อเอาใจคนมลายู
เรื่องนี้มีความสำคัญต่อความอยู่รอดพาสเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าเดินหน้าแบบเดิมๆต่อไป พาสจะกลายเป็นจุดบอดที่สร้างความแตกแยกในกลุ่มฝ่ายค้าน แต่ถ้าละเลยประเด็นของชาวมลายูมุสลิม พาสก็อาจเสียฐานเสียงสำคัญให้กับอัมโนคู่แข่งสำคัญ หลังจากฟาดฟันทางความคิดอย่างดุเดือดภายในพรรคเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้นำพาสก็ประกาศนโยบายใหม่ปิ๊ง ว่า นับแต่นี้ต่อไปพาสจะต่อสู้ให้มาเลเซีย “รัฐสวัสดิการ” นะพ่อแม่พี่น้อง..
ผลปรากฏว่าพาสไม่ได้เสียฐานเสียงไปจากการเปลี่ยนนโยบายนี้แต่อย่างไร ซึ่งสร้างความโล่งใจแก่ฝ่ายค้านไปอีกเปลาะหนึ่ง กรรมการกลางของพาสเดินหน้าแสดงจุดยืนทางความคิดชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยการประกาศขับ นาย ฮัสซัน อาลี ออกจากการเป็นสมาชิกคณะกรรมการในช่วงหนึ่งวันก่อนการตัดสินคดีอันวาร์ และประกาศถอดเขาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีของรัฐสังงอร์อีกด้วย
นายอัสซันผู้นี้เป็นสมาชิกพรรคหัวรุนแรงที่โจมตีพรรคตนเองเรื่องการละนโยบายรัฐอิสลาม ทั้งยังมีพฤติกรรมสุดโต่งสร้างความปวดหัวแก่พรรคเช่นการประกาศตัวเป็นศัตรูกับชาวคริสต์ในประเทศโดยกล่าวหาว่า โบสถ์คริสต์ต่างๆพยายามชักจูงให้ชาวมุสลิมเปลี่ยนศาสนา ว่างๆ ในวันคริสต์มาส เขาก็ออกตระเวณจับชาวมุสลิมที่นั่งดื่มแอลกอฮอลล์ตามสถานบันเทิงต่างๆ แถมยังให้สัมภาษณ์สื่อว่า ได้พบว่าชาวคริสต์ในประเทศใช้เครื่องมือแบบใหม่ในการเปลี่ยนศาสนาชาวมุสลิม นั่นก็คือ “ไบเบิ้ลมือถือ” ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ...
การ “เคี๊ยะ” นายอัสซันออกจากตำแหน่งเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า พาสพร้อมจะทำงานกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ในขณะเดียวกันก็เป็นการเน้นแนวทางประนีประนอมที่ต่างกับแนว “เชื้อชาติใครเชื้อชาติมัน” แบบเก่าๆ สอดคล้องกับทิศทางของนายอันวาร์ที่ให้ไว้กับพรรคของเขา
ความสำคัญของการเลือกตั้งครั้งใหม่ของมาเลเซียที่ถูกจับตามองจากประชาคมโลกอย่างใกล้ชิด ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะได้ที่นั่งมากกว่าใครในสภาฯ แต่อยู่ที่ว่ามาเลเซียจะสามารถละทิ้งการเมืองแบบเชื้อชาติ (และศาสนา) นิยมซึ่งเป็นปัญหาที่เข่นฆ่าผู้คนจำนวนมากในหลายประเทศทั่วโลกได้หรือไม่
ในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะต้องมีผู้นำที่สามารถโน้มน้าวใจคนหมู่มาก ซึ่งก็คือชาวมลายูมุสลิมที่มีชีวิตอยู่กับแนวคิดที่ปลูกฝังโดยพรรคอัมโนมากว่าสี่ทศวรรษ
นักการเมืองชาวจีนอย่างคุณลุงลิมกิต เสียงแห่งพรรคดีเอพีที่แม้ว่าจะมีประสบการณ์โชกโชนบนสังเวียนการเมืองแค่ไหนก็ไม่อาจพูดกับชาวมลายูในประเทศได้อย่างใจถึงใจทำได้ ในขณะเดียวกันก็ยากที่จะให้อูลามาอย่าง นิก อาซิซ หรือฮาดี อาหวัง ของพรรคพาสโน้มน้าวให้ชาวจีนในประเทศเข้าใจ
นายอันวาร์มีบทบาทในองค์กรเยาวชนมุสลิมระดับประเทศตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา เขาได้รับการยอมรับในฐานะมุสลิมที่เคร่งครัดมากพอที่ชาวมุสลิมในประเทศจะให้ความนับถือได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ในขณะเดียวกันความเป็นมุสลิมหัวก้าวหน้าที่มีสายสัมพันธ์กับผู้นำประเทศอย่างตุรกีและกลุ่มประชาสังคมในอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่นับถืออิสลามแต่มีรูปแบบการเมืองแบบ “ทางโลก” (secular) ทำให้ประชากรกลุ่มอื่นๆพอจะวางใจเขาได้ ว่าเขาคงไม่ลุกขึ้นมาประกาศตนเป็นศัตรูกับชาวคริสต์เข้าสักวัน
ขณะนี้การเมืองมาเลเซียก้าวจากการต่อสู้ทางผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวแบบเก่าๆ ไปสู่การปฏิรูปทางความคิด หากว่าแนวความคิดของนายอันวาร์เป็นฝ่ายชนะ การเมืองแบบเชื้อชาตินิยมก็จะอ่อนกระแสลง ทั้งยังอาจช่วยลดกระแสแบบนี้ที่แฝงตัวอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศอีกด้วย
อาจเป็นเพราะอย่างนี้นี่เองที่รัฐบาลหลายประเทศจึงติดตามชะตากรรมของนายอันวาร์อย่างใกล้ชิดมาแต่ไหนแต่ไร ในวันเดียวกับวันตัดสินคดี นาย เควิน รัดด์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย ให้สัมภาษณ์ต่อผลการตัดสินคดีอันวาร์ว่าช่างเป็นเรื่องที่ “น่ายินดีสุดๆ” (Absolute delight) ก่อนจะต่อด้วยการให้ยาหอม (ปนดักคอ) รัฐบาลว่า เรื่องนี้ชี้ถึงเป็นการพัฒนาของระบบยุติธรรมมาเลเซีย และเป็นกระบวนการของการปลดปล่อยทางการเมือง (political liberalization) ของประเทศที่ไม่ได้นำโดยใครเล้ย..นอกจากนายกฯนาจิบ ราซัค จ้า...
ส่วนนาย มาร์ตี นาธาเลกาวา รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียประเทศที่หายใจรดต้นคอกันกับมาเลเซียอยู่ไหม พูดกับนักข่าวว่าเรื่องของนายอันวาร์นี้เป็นเรื่องที่ประชาคมโลกจับตามองอย่างใกล้ชิดมาตลอด แถมยังฟันธงว่า การตัดสินของศาลในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่สำคัญ ซึ่งจะทำให้การเมืองของมาเลเซียก้าวไปข้างหน้า..
ยังไม่มีใครคาดได้ อัยการสูงสุดจะได้รับในสั่งจากนายกฯ นาจิบ ผู้ที่อาจจะยังอึ้ง ทึ่ง และอาจจะเสียวไส้ไปพร้อมกัน ว่าให้ยื่นอุทธรณ์หรือไม่ ส่วนนายอันวาร์เองก็อาจยังเตรียมใจไว้ครึ่งๆว่าอาจต้องย้ายโต๊ะทำงานเข้าไปไว้ในคุกในที่สุดตามที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ไม่มีปัญหา..”
ไม่ว่าอันวาร์จะอยู่ไหน พรรคอัมโนของนายนาจิบ ณ วันนี้ก็เต็มไปด้วยปัญหารุมเร้า รอพิสูจน์กึ๋นผู้นำก่อนที่จะลงสนามบังคับบัญชาพลพรรคในการเลือกตั้งเป็นครั้งแรก อัมโนในวันนี้ไม่ใช่อัมโนยุควันวานยังหวานอยู่ภายใต้การนำของอดีตนายกฯมหาเธร์ โมฮัมหมัดอีกต่อไปแล้ว
นายนาจิบจะนำทัพอัมโนฝ่าด่านอันวาร์ไปได้อย่างไร และอันวาร์จะนำพลฝ่ายค้านชิงพื้นที่ได้มากแค่ไหน.. ขอกระซิบว่าการเมืองมาเลเซียยุคปัจจุบันสนุกกว่าดูหนังมิชชั่นอิมพอสสิเบิ้ลทีเดียวเชียว