ก้าวสู่ระบบพลังงานที่ยั่งยืน ด้วยพลังงานสะอาดและประหยัด
ต้องยอมรับว่าการจัดการพลังงานที่ยั่งยืนได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทั่วโลกให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในชั่วโมงนี้
เพราะพลังงานเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งทั้งในชีวิตประจำวันและในอุตสาหกรรม
ซึ่งถ้าเราสังเกตให้ดีไม่ว่าจะใช้พลังงานอะไรก็แล้วแต่จะต้องมีอีกด้านหนึ่งที่ได้ และอีกด้านหนึ่งเสียเสมอ และด้านที่เสียนี่เองที่ส่งผลให้โลกร้อนขึ้นทุกวัน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป
ด้วยเหตุนี้ หลายคนจึงกลับมาคิดว่า ทำอย่างไรที่จะใช้พลังงานที่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เรื่องของพลังงานสะอาดและพลังงานที่ประหยัดจึงเป็นทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการที่ตระหนักถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน
แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ เมื่อไรที่ใช้พลังงานสะอาดก็มักจะแพง เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรที่จะใช้พลังงานให้น้อยที่สุด หรือทำอย่างไรจะนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตสินค้ามาแปลงเป็นพลังงานได้
ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การผลิตไบโอแก๊สจากมูลสุกรของชาวบ้านในหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เพราะนอกจากจะได้พลังงานฟรีมาใช้ในครัวเรือนแล้วยังช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กันด้วย
วันนี้จะทำอย่างไรให้โรงงงานอุตสาหกรรมซึ่งแต่ละปีใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาลแทบทุกแห่งไม่ว่าจะตั้งอยู่ที่ไหนหันมาใช้ไฟฟ้าอย่างสะอาด และประหยัดได้ เพราะปัจจุบันพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงานต่างๆ ส่วนใหญ่มาจากฟอสซิล และน้ำมัน ส่วนที่เป็นพลังงานไฟฟ้าที่ได้จากเขื่อนซึ่งถือเป็นพลังงานสะอาดนั้นมีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
บริษัท ซี.พี.ค้าปลีกและการตลาด จำกัด (ซีพีแรม) ผู้ดำเนินกิจการอาหารพร้อมรับประทาน เคยมีแนวคิดที่จะผลิตไฟฟ้าใช้เอง เช่น นำเอาไบโอแมส หรือสิ่งที่เหลือจากกระบวนการผลิตที่เป็นสารอินทรีย์มาแปลงเป็นพลังงาน ซึ่งนอกจากจะได้พลังงานที่สะอาดแล้วยังเป็นการประหยัดอีกด้วย ส่วนน้ำมันที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ต้องนำเข้ามาจากประเทศแถบตะวันออกกลาง ราคาจึงสูงมากเพราะต้องบวกค่าขนส่งเข้าไปด้วย
แต่ด้วยการดำเนินงานภายในโรงงานซีพีแรม ไม่มีวัตถุดิบเพียงพอที่จะแปลงเป็นพลังงานในลักษณะนี้ได้ จึงเปลี่ยนแนวคิดมาใช้แก๊สธรรมชาติมาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าแทน เพราะโรงงานตั้งอยู่ใกล้กับแนวท่อแก๊สธรรมชาติที่ทางปตท.วางไว้ ซึ่งการสร้างโรงไฟฟ้าภายในโรงงานไม่เพียงทำให้ได้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว แต่ยังมีผลพลอยได้จากความร้อนที่เหลือจากการผลิตกระแสไฟฟ้านำไปใช้งานอื่นได้อีก ซึ่งสอดรับกับความต้องการของโรงงานผลิตอาหารอย่างซีพีแรมเป็นอย่างมาก เนื่องจากโรงงานของซีพีแรมจำเป็นต้องใช้พลังงานทั้ง 2 ประเภท คือ พลังงานไฟฟ้าและพลังงานความร้อน
เครือซีพีได้เริ่มสร้างโรงไฟฟ้าแห่งแรกที่โรงงานแปรรูปเนื้อไก่ อ.แก่งคอย ประมาณปี 2536 เนื่องจากช่วงนั้นมีการวางท่อแก๊สธรรมชาติผ่านด้านหลังโรงงาน ทำให้สามารถต่อท่อเข้ามาใช้ในโรงงานได้สะดวก โรงงานแห่งนี้จึงมีเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในราคาถูกและยังเหลือพลังงานความร้อนมาใช้ในกระบวนการผลิตอาหารอีกต่อด้วย
เรียกระบบการผลิตไฟฟ้าแบบนี้ว่า โคเจนเนอเรชั่น (Co-Generation) หรือระบบผลิตพลังงานร่วม
กระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าจะมีการทำงานคล้ายๆ กับรถยนต์เอ็นจีวี ที่จะมีแก๊สเอ็นจิ้นไปทำให้เครื่องยนต์หมุนและล้อรถวิ่ง ในระหว่างที่มีการปั่นให้รถวิ่งก่อให้เกิดความร้อนในเครื่องยนต์ ดังนั้นจึงต้องมีการหล่อเย็นที่รังผึ้งของหม้อน้ำ
เพราะฉะนั้นโรงงานจึงได้ประโยชน์จากความร้อนของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 2 ส่วน คือ ได้ไอน้ำร้อนจำนวนมหาศาลที่สามารถนำไปลวกขนไก่ ต้มขนไก่ในโรงงานผลิตขนไก่ป่น และการนำไอน้ำหรือสตรีมไปใช้ในส่วนต่างๆของโรงงาน
ด้วยวิธีการนี้หลังจากโรงงานที่อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี จัดสร้างโรงไฟฟ้าระบบผลิตพลังงานร่วมขึ้น จึงสามารถประหยัดเงินค่าพลังงานต่อเดือนได้นับล้านบาท เป็นความสำเร็จอย่างสูงที่บริษัทอื่นๆ ในเครือซี.พี.ต่างยึด เป็นต้นแบบการประหยัดพลังงานในอนาคต
การสร้างโรงไฟฟ้าลักษณะนี้แม้ไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ง่ายเพราะถ้าไม่มีท่อแก๊สวิ่งผ่านก็ไม่สามารถดำเนินการได้ ดังนั้นคนซี.พี.จึงพูดกันเสมอๆ ว่า โรงงานไหนที่มีท่อแก๊สวิ่งผ่านเสมือนถูกล็อตเตอรี่ รางวัลที่ 1
เพราะแม้จะลงทุนครั้งแรกค่อนข้างสูงแต่ประหยัดเงินได้เดือนละนับล้านบาท เมื่อมองในระยะยาวจึงถือว่าคุ้มค่ามาก
ที่ผ่านมาประเทศไทยซื้อแก๊สจากประเทศพม่าแล้ววางท่อแก๊สกระจายไปในหลายพื้นที่ไปสู่โรงไฟฟ้า ไปสู่โรงงานอุตสาหกรรม โรงงานของซีพีที่อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรีจึงถือเป็นผู้โชคดีแห่งแรกเพราะมีท่อแก๊สที่ต่อท่อไปยังโรงปูนผ่านด้านหลังโรงงานในระยะไม่ไกลนัก
หลายปีต่อมาโรงงานย่านสุวินทวงศ์ ก็เสมือนถูกล็อตเตอรี่เช่นกัน เพราะมีการวางท่อแก๊สห่างจากโรงงานเพียง 2 กิโลเมตรสามารถต่อท่อเข้ามาใช้ในโรงไฟฟ้าภายในโรงงานได้
ซีพีแรม ลาดหลุมแก้ว เป็นอีกโรงงานที่เฝ้ารอท่อแก๊สวิ่งผ่าน จนกระทั่งเมื่อปีที่ผ่านมามีการขยายท่อแก๊สห่างจากโรงงานเพียง 4 กิโลเมตรเมื่อคำนวณต้นทุนและผลที่คาดว่าจะได้รับแล้วว่าคุ้มค่า จึงลงมือดำเนินการต่อท่อเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าผลิตพลังงานใช้ภายในโรงงาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง
นอกจากซีพีแรมลาดหลุมแก้วแล้ว วันนี้โรงงานในเครือซี.พี.อยู่ระหว่างสร้างโรงไฟฟ้าระบบผลิตพลังงานร่วมทั้งหมดอีก 4 แห่ง คือ โรงงานมีนบุรี2 โรงงานไส้กรอก หนองจอก โรงงานซีพี เมจิหนองแค และโรงงานแปรรูปเนื้อไก่แก่งคอย เฟส2
แต่สิ่งที่โรงไฟฟ้าของซีพีแรมลาดหลุมแก้ว และซีพีเมจิหนองแคแตกต่างจากโรงไฟฟ้าอื่นๆ ก็คือ เป็นโรงไฟฟ้าระบบไตรเจนเนอเรชั่น(Tri-Generation) หรืออาจเรียกว่า ซีซีเอชพี(CCHP หรือ Combined Cooling, Heat and Power) โดยนอกจากเราจะได้พลังงานไฟฟ้าจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแล้ว ผลพลอยได้ส่วนแรกคือพลังงานความร้อนในรูปไอน้ำร้อน ซึ่งสามารถนำไปใช้ในกระบวนการผลิตและยังคงเหลืออยู่มาแปลงเป็นน้ำเย็นไปใช้ในระบบปรับอากาศและหล่อเย็นที่จำเป็นในโรงงานได้อีกด้วย
กล่าวโดยสรุปก็คือ การผลิตไฟฟ้าในระบบโคเจนเนอเรชั่น เราจะได้พลังงานไฟฟ้า แล้วได้ไอน้ำร้อนเป็นผลพลอยได้ ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าระบบไตรเจนเนอเรชั่น เราจะได้พลังงานไฟฟ้า แล้วได้ไอน้ำร้อนและน้ำเย็นเป็นผลพลอยได้
หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่า การสร้างโรงไฟฟ้าภายในโรงงาน ช่วยธุรกิจ ช่วยรักษ์โลกอย่างไร ยกตัวอย่าง โรงงาน ลาดหลุมแก้วปัจจุบันใช้ไฟฟ้าอยู่เดือนละกว่า 12 ล้านบาท หรือปีละประมาณ 150 ล้านบาทและในปีหน้ามีแนวโน้มที่จะขยับไปถึง 180 ล้านบาทเนื่องจากกำลังการผลิตขยายอย่างต่อเนื่อง
การสร้างโรงไฟฟ้า 1 โรงใช้เงินลงทุนประมาณ 225 ล้านบาท แต่โรงงานสามารถบริหารจัดการพลังงานลดค่าใช้จ่ายได้ปีละเกือบ 50 ล้านบาท สามารถคืนทุนได้ใน 4 ปี หลังจากนั้นก็จะเป็นการประหยัดอย่างมากมาย
ซึ่งการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า หากเราไม่ใช่ผู้ชำนาญก็สามารถจ้างที่ปรึกษาเข้ามาดูแล เขาจะคำนวณให้เห็นเลยว่าต้องใช้เงินลงทุนเท่าไร แล้วแต่ละปีจะประหยัดเงินเท่าไร ถ้าไม่แน่ใจก็สามารถซื้อประกันผลประหยัดจากบริษัทที่ปรึกษาได้ เพราะเขาจะประกันความสำเร็จให้ไม่ต่ำกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ โดยผู้ประกอบการเสียค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยตลอดโครงการ ซึ่งก็ถือว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมาก
การลงทุนวางท่อแก๊สในครั้งนี้ ซีพีแรมแชร์ค่าใช้จ่าย 50 ล้านบาท ในขณะที่ปตท.ลงทุน 20 ล้านบาทหากในอนาคตมีโรงงานบริเวณใกล้เคียงกับซีพีแรมเดินท่อเข้าโรงงานเพิ่มอีก 3-4 แห่ง ทางปตท.ก็จะนำเงินส่วนที่เราลงไปมาคืนเพราะมีผู้ร่วมใช้ท่อแก๊สมาแชร์เงินลงทุน
ตรงนี้จึงถือเป็นการลงทุนระยะยาว ที่ผลพลอยได้ไม่ได้มาในรูปของตัวเงินเท่านั้นแต่เป็นการรักษาโลก โดยนำพลังงานทุกอย่างมาใช้อย่างคุ้มค่า
จริงๆ แล้วการใช้พลังงานอย่างสะอาดและคุ้มค่าไม่ได้มีแค่เรื่องของการสร้างโรงไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่สามารถทำได้ เช่น โรงงานซีพีแรมที่ใช้ระบบปรับอากาศ VRV(Variable Refrigerant Volume) มาใช้ โดยลดจำนวนคอมเพรสเซอร์ที่ใช้กับเครื่องปรับอากาศ ตัวอย่างเช่นจาก 10 ตัว เหลือเพียง 7 ตัว เพราะในช่วงเริ่มต้นคอมเพรสซอร์อาจจะทำงานสูง แต่พอห้องเริ่มเย็นคอมเพรสเซอร์จะทำงานลดลง ดังนั้นจึงสามารถใช้คอมเพรสเซอร์ร่วมกันได้ ซึ่งระบบนี้ใช้ได้ทั้งในโรงงาน ในสำนักงาน และในครัวเรือน
นอกจากนั้นระบบต่างๆ ภายในโรงงานก็สามารถปรับเปลี่ยนให้ประหยัดพลังงานได้ เช่น การติดตั้งระบบเปิดปิดไฟแบบอัตโนมัติเมื่อไม่มีคนอยู่ในตำแหน่งนั้นแล้ว ก็ทำให้โรงงานประหยัดพลังงาน
ในช่วงเริ่มต้นอาจจะต้องลงทุนสูง แต่ระยะยาวแล้วคุ้มค่าทั้งองค์กรและโลก