“ขายหุ้น ปตท. การบินไทย?” ช่วยกันใคร่ครวญอีกหลายๆรอบ
เมื่อได้ติดตามข่าวรัฐบาลอาจขายหุ้น ปตท. การบินไทย ให้กองทุนวายุภักย์เพิ่มเติม เพื่อให้รัฐบาลถือหุ้นต่ำกว่า 50% แล้วก็กังวลใจ
ดีที่ในรัฐบาลมีบุคคลหลายท่านที่ผมให้ความเคารพนับถือ ผมหวังว่า จะมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดกัน เพื่อให้ได้ประโยชน์ที่ดีที่สุดสำหรับแผ่นดินเกิดที่เรารัก หลายประเด็นดังนี้…
1.การขายหุ้นในครั้งนี้ หากถือว่ารัฐถือไม่ถึง 50% จะเป็นการตัดสินใจไปที่ย้อนกลับไม่ได้อีกเลย เพราะหากรัฐบาลในอนาคตอยากจะเปลี่ยนใจ ให้รัฐบาลถือกิจการอย่าง ปตท. หรือ การบินไทย เกิน 50% อีกครั้ง จะต้องทำคำเสนอซื้อจากประชาชนทั่วไปจนถึง 100% (Mandatory Tender Offering) ซึ่งขณะที่ราคาหุ้น 330 บาทเช่นนี้ มูลค่า 100% คือ 9.4 แสนล้านบาท ซึ่งการจะรับซื้อให้ครบ ก็ต้องใช้เงินประมาณครึ่งหนึ่ง เมื่อคิดดูว่า ตอนเริ่มต้น ราคาเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเพียง 35 บาท คิดเป็นมูลค่า 100% เพียง 1 แสนล้านบาท หากจะซื้อกลับด้วยมูลค่ากว่า 9 เท่าเช่นนี้ ก็คงเป็นไปไม่ได้
2.จะนับการถือหุ้นของกระทรวงการคลัง กับกองทุนวายุภักย์เป็นบุคคลกลุ่มเดียวกันหรือไม่ ? ด้วยอาจเป็นวิธีแก้ไขปัญหา ให้ยังถือว่าเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกันตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ เพื่อให้เมื่อจะมีการย้ายหุ้นคืน รัฐบาลไม่ต้องมีหน้าที่ในการเสนอซื้อจนถึง 100%
3.จะทำให้ไม่นับหนี้ของทั้ง 2 กิจการเป็นหนี้สาธารณะได้จริงหรือ ? โจทย์ใหญ่ที่ทำให้เริ่มต้นความคิด ดูเหมือนจะเป็นการลดภาระหนี้ ของภาครัฐ แต่การย้ายการถือหุ้นเพียง 2% ก็ดูเป็นเพียงวิธีการทางบัญชีเท่านั้น จะทำให้รัฐบาลทั่วโลก เจ้าหนี้ต่างๆ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือเชื่อตามนั้นจริงๆหรือ ? เรื่องการตบแต่งบัญชี จะเป็นเอกชนหรือภาครัฐนั้น เขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ ส่วนมากก็จะถือตาม “สาระ” มากกว่า “รูปแบบ” (Substances over Forms) กัน แล้วจะได้ผลหรือ ?
4.การซุกหนี้เช่นนี้ จะทำให้ก่อหนี้สะสมจนป่วยแบบไม่รู้ตัวหรือไม่ ? ทุกๆประเทศที่เผชิญปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ จนรัฐบาลต้องตัดสินใจ “ใช้จ่าย” มากกว่าที่ “เก็บเข้า” คือ ขาดดุลงบประมาณ สหรัฐฯเคยมีหนี้ต่อจีดีพีประมาณ 50% ก่อนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ปัจจุบันมีประมาณ 100% กรีซ 142% อิตาลี 119% ไอซ์แลนด์ 126% ญี่ปุ่น 199% ฝรั่งเศส 82% เยอรมัน 83% ก็เป็นที่ยอมรับ ด้วยการให้ประชาชนเข้าใจถึงความจำเป็น แต่ตัวเลขที่โปร่งใส ก็ทำให้รู้อาการชัดเจน แทนที่จะปกปิด ซุกซ่อน ก็จะทำให้สะสมหนี้จนป่วยปางตายไม่รู้ตัวได้
• เหมือนหนี้ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ พยายามซุกซ่อนยอดหนี้ NPL ตบแต่งบัญชีให้ดูมีกำไร เมื่อเข้าไปดูจริงๆ ก็สายเกินแก้แล้ว ต้องปิดตัวไปและสร้างภาระหนี้ภาครัฐให้ลูกหลานมากมาย
• เหมือนภาระหนี้สว็อปดอลลาร์ เพื่อประคองค่าเงิน ทำให้กองทุนสำรองฯ ทำสัญญาจะขายดอลลาร์ละประมาณ 26 บาทมากมาย กว่าจะรู้ตัว ทุนสำรองฯก็เหลือดอลลาร์สุทธิเพียง 7 พันล้านเหรียญ แม้นายกฯชวลิต และรองนายกฯทักษิณ จะลาออก แต่ภาระหนี้เหล่านี้ ก็เป็นปัญหาที่คนไทยทั้งประเทศต้องรับภาระไป
• เหมือนภาระกองทุนน้ำมัน ที่เคยสะสมร่วมแสนล้านบาท ในรัฐบาลทักษิณ ก็สร้างภาระให้รัฐบาลต่อไปต้องเป็นผู้สะสาง ด้วยกำลังของประชาชนผู้จ่ายค่าน้ำมันอยู่ดี
5.การสูญเสียการควบคุม จะทำให้ “สมบัติชาติ” ต้องหลุดมือหรือไม่ ? เมื่อภาครัฐจะถือหุ้นเพียงต่ำกว่า 50% จะทำให้ในอนาคต มีความเสี่ยงที่รัฐจะสูญเสียสมบัติของชาติของลูกหลานเราไปหรือไม่ ? ด้วยอาจจะมีผู้บริหารกองทุนในบางยุค ตัดสินใจปล่อยหุ้นก้อนนี้ออกไป และทำให้สูญเสียอำนาจการควบคุมออกไปหรือไม่
• เหมือนการขายสว็อปดอลลาร์ยุควิกฤตต้มยำกุ้ง ก็เทียบเท่าได้กับการขายทรัพย์สินของประเทศดอลลาร์ละประมาณ 26 บาทออกไป และอาจมีกองทุนในต่างชาติได้ประโยชน์ ชื่อกองทุนลึกลับแบบวินมาร์คก็อาจจะชนะค่าเงินก็ได้
• เหมือนการออก พรก. ภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม ก็เทียบเท่าได้กับการที่เดิม สัมปทานโทรคมนาคมจะเป็นแบบการร่วมทุน หรือร่วมการงาน ซึ่งเมื่อครบกำหนดสัมปทาน 20-30 ปี กิจการเหล่านั้นก็ควรกลับมาเป็นของชาติ แต่ก็ได้กลายเป็นของเอกชนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ส่วนแบ่งภาครัฐจากสัมปทาน กลายเป็นเงื่อนไขทำให้การแข่งขันในกิจการโทรคมนาคมไม่เป็นธรรม เอื้อประโยชน์บางกลุ่มได้
แต่ละครั้ง อาจมีคนบางคนทำหลุดมือ แต่ประโยชน์ชาติ ทรัพย์สินของลูกหลาน ได้หลุดมือไปเป็นประโยชน์ของกลุ่มคนไม่กี่คนก็เป็นได้ และครั้งนี้ จะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเกี่ยวพันถึงการใช้พลังงานซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นของประชาชนทุกคนไม่น้อยกว่าปัจจัยสี่อีกแล้ว
6.จะปรับไม่ให้ ปตท. มีประโยชน์ในกิจการแบบผูกขาดก่อนให้เป็นเอกชนหรือไม่ ? แต่ที่ผมเคยเป็นที่ปรึกษาในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ มักจะมีหลักการหนึ่งอยู่เสมอว่า จะต้องไม่นำไปสู่การเปลี่ยนจากการผูกขาดโดยรัฐ ไปเป็นการผูกขาดโดยเอกชน การที่ภาครัฐยังถือรวมๆประมาณ 70% ก็ยังพอเข้าใจได้ถึงการกระจายหุ้นเพียงบางส่วน แต่หากจะให้รัฐถือต่ำกว่า 50% จริง ก็น่าที่จะระมัดระวังไม่ให้โอนการผูกขาดโดยรัฐ ไปเป็นของเอกชน การแข่งขันขายน้ำมันปลีก ไม่เป็นไร แต่การขายก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้า โดยท่อที่ต้องเวนคืนเป็นของรัฐนั้น ควรทบทวนว่า เมื่อรัฐจะถือหุ้นต่ำกว่า 50% ในปตท. ยังควรจะให้มีกิจการที่มีอำนาจผูกขาดหรือไม่ ?
หลายประเด็นเหล่านี้ ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอาจจะมีคำตอบที่ดีอยู่ ก็อยากให้รัฐบาล สื่อมวลชน นักวิชาการ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ให้กระจ่าง เพื่อให้การเลือกทางเดินไปข้างหน้านั้น จะไม่เป็นการเอาสมบัติของลูกหลานไทยไปขาย และ ไม่เป็นการซุกซ่อนภาระหนี้ให้ลูกหลานมากเกินไปครับ .
(มนตรี ศรไพศาล ([email protected]; www.oknation.net/blog/richwithlove; @montrees)
ที่มาภาพ : http://daily.bangkokbiznews.com/detail/41418