บทเรียนเสื้อเหลืองเสื้อแดง 1 : ใครเป็น “เทพ” ใครเป็น “มาร”
ครอบครัวที่ขาดความรักก็จะไม่เข้มแข็ง กิจการที่ขาดความสามัคคีก็จะอ่อนแอ ประเทศชาติที่ขาดความ “รู้รักสามัคคี” ก็อาจจะล่มจม คล้ายเรื่องไททานิค ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงสอนให้พี่น้องรู้รักสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ตามประวัติศาสตร์ทั่วโลก ทุกยุค ทุกสมัย หากบ้านเมืองสงบสุข มีความรักสามัคคี ก็ยากที่จะมีโอกาสสำหรับผู้หวังอำนาจกลุ่มใหม่
แต่มักมีผู้หวังครองอำนาจเป็นของตัว พยายามสร้างความแตกแยก และหวังผลประโยชน์จากความขัดแย้ง
เพื่อไม่พาดพิงใคร แม้กระทั่งบทเรียนจากภาพยนตร์หลายเรื่อง ก็เป็นเช่นนั้น
...ภาพยนตร์เรื่อง ลีซานจอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน องค์ชายลีซานต่อต้านอำมาตย์ชั่วร่วมมือกับพ่อค้าผูกขาด ตั้งใจให้กิจการรายย่อยทำธุรกิจค้าข้าวค้าเกลือได้อย่างเสรี ชองฮกยอมเป็นอำมาตย์ที่ไม่ดี ร่วมมือกับพ่อค้าผูกขาด วางแผนใส่ร้ายองค์ชาย ยอมเผาสินค้าในคลังของพ่อค้าเอง เพื่อให้สินค้าราคาแพงเพิ่มขึ้นหลายเท่า แล้วใช้ใส่ร้ายกล่าวโทษองค์ชาย
แต่องค์ชายลีซานก็พยายามแก้ไขปัญหา โดยให้พ่อค้าย่อยรอบเมือง ส่งข้าวและเกลือเข้ามา แต่ชองฮกยอมร่วมมือกับพ่อค้าผูกขาด ไปซื้อของเหล่านี้ไว้ในราคาสูงเกินเท่าตัว จนชาวบ้านเดือดร้อน
หลังจากนั้น ก็ไปเกณฑ์ชาวบ้านมาประท้วงขับไล่องค์ชายลีซานที่หน้าวัง ขอให้องค์จักรพรรดิ์ปลดองค์ชายลีซานลงจากตำแหน่งรัชทายาท ฝ่าย ฮงกุกยอง ที่ปรึกษาองค์ชายได้ออกไปตามหัวเมือง ให้เจ้าเมืองพยายามพูดคุยกับชาวบ้าน อย่าให้เข้ามาชุมนุมกัน โดยให้ใช้วิธีละมุนละม่อม
แต่หลังจากฮงกุกยองกลับไป ชองฮกยอมกลับออกมาพบกับเจ้าเมืองและบอกว่า ให้ถือว่าไม่มีคำสั่งนั้น ให้ใช้วิธีรุนแรง ต้องให้มีคนตาย...
ในภาพยนตร์เรื่องไอริส กระบวนการไอริส ก็ยุเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ให้รบกัน โดยหวังจะวางระเบิดปรมณูในกรุงโซลเพื่อให้ชาวเกาหลีใต้คิดว่าเกาหลีเหนือทำ เพื่อหวังประโยชน์ในอำนาจ และการค้าอาวุธ
ในบ้านเรา มีคนพยายามทำให้สังคมแตกแยกกัน เป็นกลุ่มเหลือง กลุ่มแดง ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อชาวเสื้อเหลือง ไม่เป็นประโยชน์ต่อชาวเสื้อแดง ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ และไม่เป็นประโยชน์ต่อลูกหลานไทยเลย
ขณะนี้ ยังมีความพยายามอยู่ ให้แดงรู้สึกว่าเหลืองโง่ และให้เหลืองรู้สึกว่าแดงโง่ ความแตกแยกนั้นก็อาจเพียงเพื่อทำให้คนเลิกใช้เหตุผล พิจารณาคดีความ ละเลยความถูกต้องชอบธรรม เปิดช่องให้เกิดการทุจริตโกงบ้านกินเมืองกันต่อไป
เราคนไทยจึงควรตั้งสติให้มั่น เราเกิดมา ไม่มีใครเป็นพวกใคร ต่างพวกกันหรอกครับ เราล้วนเป็นพสกนิกรชาวไทย ลูกหลานของแผ่นดินไทย ได้รับพระคุณแผ่นดินไทยมาร่วมกัน
ไม่มีแบ่งสี ไม่มีแบ่งฝ่าย เชื่อได้ว่า แต่ละคนอาจมีความศรัทธาในนักการเมืองไม่เหมือนกันได้ ตามระบอบประชาธิปไตย แต่อย่าให้มีความรู้สึกรังเกียจกัน ดูถูกกัน คับแค้นใจกันเลย
สังคมที่มีการสร้างอารมณ์โกรธ แค้น น้อยใจ ทำให้รู้สึกถูกดูถูก ทำให้รู้สึกอาภัพ หรือการมีอารมณ์ดูถูก หงุดหงิดง่าย ก็ไม่ดีทั้งนั้น เพราะเป็นสังคมที่มีแต่ความทุกข์ แตกแยก ขาดพลัง
กลุ่มเสื้อเหลือง ก็มีชื่อเต็มว่า “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
กลุ่มเสื้อแดง ก็มีชื่อเต็มว่า “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ”
ทั้งสองฝ่าย ก็ดูจะมุ่งมั่นเพื่อปกป้องประชาธิปไตย
กลุ่มเสื้อเหลืองอาจจะแถมเรื่องการต่อสู้กับการคอรัปชั่น ทุจริตโกงบ้านกินเมือง
กลุ่มเสื้อแดงก็อาจจะแถมเรื่องการต่อต้านเผด็จการ
ผมว่าจริงๆแล้วก็ดีทั้งนั้น
...เราก็ควรจะต่อต้านการคอรัปชั่นกันอย่างเต็มที่ เพราะยุคหนึ่ง การทุจริตมีมากมายในสถาบันการเงินอย่างเช่นธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ การทุจริตกองทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ จนประเทศเหลือกองทุนสุทธิเพียงประมาณ 7 พันล้านเหรียญ และสะสมหนี้รัฐหลายแสนล้านบาท เศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนตกงานกันไปทั่ว กิจการขาดทุนมากมาย
...และเราก็ควรต่อต้านเผด็จการกันอย่างเข้มแข็ง ปกป้องรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ให้ลูกหลาน สมัยพฤษภาทมิฬ ประชาชนก็ได้แสดงให้เห็นพลังแล้วว่า เรายังอยากรักษาประชาธิปไตย ให้ประชาชนเป็นผู้มอบอำนาจรัฐผ่านกระบวนการเลือกตั้งต่อไป และพลังนี้ ก็คงอยู่ เมื่อมี คมช. หยุดการเมืองที่มีกลิ่นทุจริต ก็ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบการกระทำอันทุจริต และจัดการเลือกตั้งภายในเวลาเพียงประมาณ 1 ปีเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเท่านั้น มิได้มีการใช้อำนาจเผด็จการยึดอำนาจรัฐกันอีก
จากประสบการณ์ของผม คนเสื้อเหลือง ก็รักประชาธิปไตย ไม่ยอมรับการยึดอำนาจอย่างเผด็จการนอกระบบ และคนเสื้อแดง ก็ไม่ได้มีความตั้งใจพายเรือให้โจรนั่ง ไม่ยอมรับการทุจริตเช่นกัน
มีหลักการบางส่วนเรื่องความรักอยู่ว่า แม้ “ความรักนั้นไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ” กระนั้น “ความรักนั้นก็ยังอดทนนาน...ไม่ช่างจดจำความผิด...เชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ”
คนไทยไม่ว่าสีใด จึงยังควรเข้าใจกัน อย่าให้ความแตกแยก นำไปสู่ทางที่บางคนใช้หาประโยชน์หรืออำนาจต่อไป
วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 เสมือนเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของสังคมไทย เราจะเดินไปในระบอบประชาธิปไตยร่วมกัน
เราคนไทยแต่ละคน อาจมีความนิยม และความเชื่อในพรรคการเมืองที่แตกต่างกัน ไม่มีใครเป็น “เทพ” หรือ “มาร” เพราะทุกคนก็เชื่อว่า คิดแบบตนเป็น “เทพ” และอีกฝ่ายเป็น “มาร”
หากเราเข้าใจกัน ยอมรับกัน ให้เกียรติกัน เราก็ไม่ต้องแตกแยกกัน เรามาเฝ้าจับตามองดีกว่า ว่านักการเมืองที่เราเลือกนั้น มีผลงานอย่างไร ตั้งใจทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างไร ทุจริตเพื่อตนเองและพวกพ้องเพียงใด และพร้อมจะตัดสินใจกันได้อีกครั้ง ว่าจะสนับสนุนคนเดิม หรือจะเปลี่ยนใจใหม่กันต่อไป
และนั่น คือคุณค่า และหัวใจของระบอบประชาธิปไตย “คิดแตกต่างได้ แต่ไม่แตกแยก”
ผมเชื่อว่า ประชาธิปไตยแท้ จะเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยรุ่งเรืองตลอดไป
มนตรี ศรไพศาล ([email protected]; www.oknation.net/blog/richwithlove; @montrees)