"ลดกาซเรือนกระจก" ความท้าทายผู้ประกอบการไทยปี 2020
10 ปีที่ผ่านมา โลกมีอุณหภูมิสูงมากที่สุดในรอบ 161 ปี ประเทศต่างๆจึงต้องร่วมมือกันหามาตรการเร่งด่วนป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในช่วง 10 ปีข้างหน้านี้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงที่โลกมีอุณหภูมิสูงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2393 หรือในรอบ 161 ปี ดังนั้นประเทศต่างๆ จึงต้องร่วมมือกันหามาตรการเร่งด่วนมาป้องกันการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในช่วง 10 ปีข้างหน้านี้
เวทีการประชุมรัฐภาคีว่าด้วยการอนุสัญญาเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือการประชุมโลกร้อน ครั้งที่ 17 ที่เมืองเดอบัน ประเทศแอฟริกาใต้ จึงได้รับความสนใจจากตัวแทนประเทศต่างๆ ทั่วโลกกว่า 190 ประเทศเข้าร่วมประชุมและแสดงความคิดเห็นอย่างคึกคัก
สาระสำคัญของเนื้อหาการประชุมครั้งนี้ ชาติสมาชิกทั่วโลก ต่างจับตาไปที่การบังคับใช้ “พิธีสารเกียวโต”รอบแรก ข้อตกลงของทั่วโลกที่มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน ที่กำลังจะสิ้นสุดลงในสิ้นปี 2555 เนื่องจากสมาชิกอยากให้ชาติมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก รับรองพันธะทางกฎหมายพิธีสารทั้งในรอบแรก และรอบที่ 2 เพื่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยตั้งโจทย์ไว้ว่าจะต้องไม่ทำให้อุณหภูมิโลกสูงเกิน 2 องศาเซลเซียส
ด้วยเรื่องโลกร้อนเป็นประเด็นร้อนที่อยู่ในความสนใจของคนทั่วโลก บรรยากาศตลอดการประชุมในรอบนี้จึงเต็มไปด้วยรายงาน ข้อเสนอ และข้อถกเถียงที่ยากจะหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ง่ายๆ
จุดสำคัญที่หลายฝ่ายจับตามองในการประชุมครั้งนี้ คือ กลุ่มประเทศร่ำรวยสุดของโลกจะยอมเสียสละเพิ่มขึ้นหรือไม่ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หลังคำมั่นเดิมจะสิ้นสุดลงในปีหน้า ซึ่งท่าทีของประเทศพัฒนาแล้วในการประชุมครั้งนี้ก็ยังออกมาในลักษณะเกี่ยงงอนเหมือนเดิม
แต่อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งนี้ได้มีการนำเสนอรายงานวิชาการจำนวนหลายชิ้น เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจและอยากหยิบยกมานำเสนอเพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก เป็นภัยอันตรายที่น่ากลัวที่สุดของภาวะโลกร้อน นั่นคือ ผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารของโลก
รายงานชิ้นนี้ระบุว่า จากการประเมินทรัพยากรต่าง ๆ ทั่วโลกเป็นครั้งแรก โดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) พบว่า เกษตรทั่วโลกต้องผลิตอาหารเพิ่มถึง 70% ภายในปี พ.ศ. 2593 เพื่อให้เพียงพอต่อจำนวนประชากรโลก ที่คาดว่าถึงขณะนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 9,000 ล้านคน
ปัญหาคือ พื้นที่เหมาะสมสำหรับทำการเกษตรส่วนใหญ่ได้มีการเพาะปลูกไปแล้ว ในขณะที่หลายพื้นที่มีปัญหาผืนดินเสื่อมคุณภาพ ทำให้ผลผลิตลดน้อยลง
ผลสำรวจในรายงานฉบับนี้ระบุว่า ผืนดินของโลก 25% เสื่อมคุณภาพ "มาก" 44% เสื่อม "พอประมาณ" มีแค่ 10% เท่านั้นที่เข้าข่าย "ดีขึ้น"
ที่น่าสนใจ คือ 40% ของผืนดินเสื่อมคุณภาพ พบในพื้นที่อยู่อาศัยของประชากรฐานะยากจนสุด
แนวทางแก้ตามการศึกษาของเอฟเอโอที่นำเสนอไว้ในช่วงท้ายในรายงาน คือ การปรับเปลี่ยนวิธีบริหารจัดการน้ำชลประทาน ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอย่างเดียว ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ถึงปี 2558 ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งเจ้าหน้าที่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) หน่วยงานหลักด้านการแก้ไขปัญหาโลกร้อนของยูเอ็น ได้บอกว่า จากนี้ไปการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสภาพภูมิอากาศโลก จะทำให้การทำการเกษตร ไม่สามารถคาดเดาได้มากยิ่งขึ้น
ภาวะโลกร้อนทำให้ความแห้งแล้งและน้ำท่วม เพิ่มความถี่ และอาจทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นก่อความหายนะ ถ้าภูเขาน้ำแข็งและทุ่งน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ ยังละลายอย่างรวดเร็วต่อไป
ในขณะที่รายงานของหน่วยบรรเทาทุกข์นานาชาติ "อ็อกซ์แฟม" บอกว่า สภาพภูมิอากาศแปรปรวนรุนแรง ทำให้ราคาอาหารทั่วโลกแพงขึ้น ที่สำคัญประชากรกลุ่มยากจนสุดของโลก ต้องใช้จ่าย 75% ของเงินรายได้ ในการซื้อหาอาหารประทังชีวิต
ที่มากกว่านั้น ช่วง 18 เดือนหลังสุด พื้นที่เพาะปลูกของรัสเซียเสียหาย 13.3 ล้านเอเคอร์ หรือประมาณ 17 % ของการผลิตทั้งประเทศ จากผลของคลื่นความร้อนนานหลายเดือน ความแห้งแล้งในพื้นที่จะงอยแอฟริกา ทำให้ปศุสัตว์ในเอธิโอเปียล้มตายถึง 60% และแกะอีก 40% ของทั้งหมด
และรายงานของเอฟเอโอ ยังให้ข้อมูลอีกว่า อุทกภัยเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้ผลักราคาอาหารในประเทศไทยให้สูงขึ้นถึง 25% และสูงขึ้นถึง 30% ในประเทศเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสุดท้าย ผู้แทนจาก 194 ประเทศได้เห็นพ้องต่อข้อตกลงฉบับใหม่ในการประชุมครั้งนี้ จากเดิมที่ได้รื้อฟื้นพิธีสารเกียวโต ซึ่งบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 1997 และจะหมดวาระในปีหน้า ให้มีผลบังคับใช้ใหม่อีก ซึ่งตามข้อตกลงใหม่ครั้งนี้จะส่งผลให้ทุกประเทศอยู่ภายใต้ข้อบังคับเดียวกัน เพื่อควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยข้อตกลงใหม่ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานที่ประกอบไปด้วยตัวแทนจากประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาแล้วร่วมกันทำแผนให้แล้วเสร็จภายในปี 2015 เพื่อให้มีผลบังคับอย่างช้าที่สุดในปี 2020
เมื่อถึงเวลานั้นประเทศไทยคงหลีกเลี่ยงที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ได้ ดังนั้นในช่วงเวลา 8 ปีจากนี้ไปจึงเป็นความท้าทายสำหรับประเทศไทยทั้งภาครัฐและอกชนว่าจะเตรียมการ ตั้งรับและจัดการเรื่องนี้อย่างไร
ซึ่งก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ในเบื้องต้นประเทศไทยจะต้องมีฐานข้อมูลก่อนว่าประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่เท่าไร หากเป้าหมายที่ประชุมโลกร้อนกำหนดให้แต่ละประเทศลดก๊าซเรือนกระจกปีละ 15 เปอร์เซ็นต์ ภาคธุรกิจไหนบ้างที่จะต้องลดเป็นอันดับต้นๆ เพื่อให้ตัวเลขภาพรวมการลดก๊าซเรือนกระจกลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งแน่นอนอุตสาหกรรมด้านพลังงานจะต้องเป็นกลุ่มแรกที่จะต้องดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
วันนี้จึงถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อม โดยรัฐบาลจะต้องมีนโยบายชัดเจนเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐ เอกชน เพื่อที่จะดำเนินการเรื่องนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมชัดเจน เพราะหากรอให้ถึงปี 2020 แล้วค่อยขยับตัว จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศซึ่งไม่เพียงแต่เรื่องสิ่งแวดล้อมเท่านั้นแต่เศรษฐกิจไทยอาจต้องสะดุดเพราะตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลงของโลก