รัฐธรรมนูญหรือคนใช้รัฐธรรมนูญอัปยศ
ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าไม่มีประเทศประชาธิปไตยใดในโลกนี้ที่เจริญได้ด้วยการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญบ่อยๆ
อังกฤษไม่เคยมีรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษรเลย ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน
สหรัฐอเมริกามี “รัฐธรรมนูญ” ที่เป็นลายลักษณ์อักษร และใช้มาตั้งแต่พ.ศ. 2327 จนถึงปัจจุบันนี้ โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติม 27 ครั้ง
รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นฉบับปัจจุบันประกาศใช้เมื่อปีพ.ศ. 2490 หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงไม่นาน และใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้โดยไม่มีการแก้ไข
อินเดียและมาเลเซียใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมาตั้งแต่ได้รับเอกราชจากอังกฤษ ปี 2493 และ 2500 ตามลำดับ โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมหลายครั้ง (อินเดียประมาณ 94 ครั้ง มาเลเซีย 42 ครั้ง)
ประเทศดังกล่าว ไม่เคยมีการปฏิวัติ-รัฐประหาร และคนของประเทศเหล่านั้นไม่นิยมโยนความผิดที่พวกเขาทำกันเองไปให้รัฐธรรมนูญ
ในทางตรงกันข้าม ประเทศไทยเรานี้ ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 เป็นต้นมา ได้ใช้รัฐธรรมนูญมาแล้ว 17 ฉบับ (ไม่นับแก้ไขเพิ่มเติม) การเมืองก็ยังคงวกวนอยู่ในวงจรอุบาทว์
ปัจจุบันนักการเมืองที่ครองอำนาจ รวมทั้งนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองจำนวนหนึ่ง กำลังผลักดันให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือเอารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 มาปรับปรุงและประกาศใช้แทน
ผู้ที่เคยศึกษาประวัติศาสตร์การร่างรัฐธรรมนูญไทยมาบ้าง หรือผู้ที่เคยเป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญมาแล้ว ย่อมรู้ดีว่าการร่างรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับต้องใช้ “พลังแห่งชาติ” (คน-เงิน-เวลาฯ) เป็นอันมาก แต่สาระสำคัญมีน้อยมาก บางประเด็นถกเถียงกันซ้ำซาก ตัดสินกันโดยเสียงข้างมาก กลับไปกลับมา ผลที่ได้ไม่มีฉบับใดที่ถูกใจคนร้อยเปอร์เซ็นต์ บางคนชอบบางประเด็นในรัฐธรรมนูญแต่ไม่ชอบในประเด็นอื่นๆ แม้แต่ในคนคนเดียวกันก็ยังเปลี่ยนความเห็นได้ เช่นบางคนในหมู่แกนนำ “คนเสื้อแดง” ครั้งหนึ่งเคยโจมตีรัฐธรรมนูญปี 2540 ว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ต่อมากลับใจเคลื่อนไหวเรียกร้องให้เอารัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้ สำหรับคนที่เป็นโรครัฐธรรมนูญขึ้นสมองนั้น จะมีรัฐธรรมนูญสัก 100 ฉบับ พวกเขาก็ยังไม่พอใจอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม เมื่อขบวนการการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่รุดหน้ามาถึงชั้นนี้แล้ว เราคงจะยับยั้งกระแส “ประชาธิปไตย” แบบพวกมากลากไปได้ยาก แต่เราก็ควรใช้โอกาสนี้เตือนสติคนไทยที่บริสุทธิใจให้ระแวดระวังว่าอย่าปล่อยให้คนที่มีเถยจิตเอาเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่มาเป็นเกาะกำบังการแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวก และอย่าหลงเชื่อว่าจะมีเทวดาองค์ใดสามารถประทานรัฐธรรมนูญที่แก้โรคร้ายของการเมืองไทยได้
โรคร้ายของสังคมไทยปัจจุบันอยู่ที่นักการเมืองและพรรคพวกที่ขาดหิริโอตตัปปะ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ขาดความซื่อสัตย์ในการบังคับใช้กฎหมายและรัฐธรรมนูญ
วิธีเยียวยาโรคร้ายของสังคมไทยที่ดีที่สุดในยุคปัจจุบันก็คืออย่าเล็งเป้าไปที่รัฐธรรมนูญ(ฉบับปัจจุบันหรืออนาคตก็ตาม) แต่เล็งเป้าไปที่ผู้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายโดยย่อดังนี้
1.ผลักดันให้รัฐสภาออก “กฎหมายลูก” ตามหลักการที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้ครบถ้วน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาสำรวจดูให้ดี ยังมีประเด็นใดที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ซึ่งจะต้องหรือควรจะตรา “กฎหมายลูก” ออกมารองรับ ให้รีบดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเวลาอันควร ประเด็นใดที่มีกฎหมายแล้ว แต่มิได้กำหนดโทษอย่างแจ้งชัด ก็ให้แก้ไขเสีย โดยกำหนดโทษทางแพ่งและทาอาญาอย่างชัดเจน (มากกว่าหรือหนักกว่าประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157) อย่าเปิดช่องทางให้เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่ละเว้น ไม่ดำเนินคดีต่อไปอีก ตัวโกงคนใดหรือกลุ่มใดที่สมองใสคิดโครงการนอกระบบเช่น Elite Card ออกมาจนทำให้คนไทยทั้งประเทศต้องเสียชื่อเสียงและขาดทุนประมาณ 5,600 ล้านบาท จะต้องหาตัวผู้ทำผิดมารับโทษทางอาญาและทางแพ่ง (ชดใช้จากกระเป๋าของพวกเขาเอง) โครงการอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดที่ต้องระงับหรือชะลอไปตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง (กันยายน 2552) ประมาณ 76 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 400,000 ล้านบาท จะต้องหาตัวผู้รับผิดชอบมาลงโทษ ฯลฯ เรื่องทำนองนี้มีอีกมาก รัฐธรรมนูญช่วยไม่ได้ แต่ “กฎหมายลูก” ช่วยได้
2.อำนาจในการทำหนังสือสัญญาต่างๆ กับต่างประเทศตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 (ตรงกับ รธน. 2540 ม. 224) ที่กล่าวถึงกันมากว่าจะต้องแก้ไขนั้น ถ้าคิดกันว่า คณะรัฐมนตรีมีระดับมันสมองเท่ากับเด็กอมมือ ก็จงตรา “กฎหมายลูก” ออกมาแจกแจงรายละเอียดว่าสัญญาประเภทใดรัฐบาลหรือฝ่ายบริหารทำได้ และประเภทใดที่จะต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภา ไม่มีรัฐธรรมนูญเทวดาฉบับใดที่จะลงรายละเอียดมากกว่าที่เป็นอยู่ ปัญหาจึงมิใช่อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่ตามหลักสากลรัฐบาลที่ทำงานโดยสุจริต ถ้ามีประเด็นที่สงสัยเรื่องขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตน ก็ส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัย
3.บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 48 ซึ่งห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนทั้งทางตรงและทางอ้อมนั้น มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นปัญหายากยิ่งในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักการเมืองที่ขาดจริยธรรมในสังคมไทย แต่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ (หลังจากใช้รัฐธรรมนูญแล้ว 4 ปี 5 เดือน) ยังไม่มีกฎหมายลูกออกมารองรับ
วิทยุชุมชน เคเปิลทีวี ทีวีดาวเทียม เว็บไซต์ เฟสบุ๊ค ถูกนักการเมืองใช้โฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองอย่างแพร่หลายเพียงใดนั้น เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป จะเห็นว่ารัฐธรรมนูญจะส่งเสริมการพัฒนาประชาธิปไตยเพียงใดก็ไม่มีความหมาย ถ้าหากไม่เร่งรัดให้ออก “กฎหมายลูก” กำหนดโทษเอาไว้ หรือมี “กฎหมายลูก” แต่ไม่มีคนบังคับใช้รัฐธรรมนูญก็เป็นหมัน เช่นนี้แล้วรัฐธรรมนูญจะมีบทบัญญัติสวยหรูเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์
4.สิ่งที่ควรทำอย่างเร่งด่วนที่สุด คือออกกฎหมายให้อำนาจภาคเอกชนฟ้องร้องเจ้าหน้าที่รัฐทุกประเภท (โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมือง) ในฐานะผู้เสียหายที่ทำหรือไม่ทำตามอำนาจหน้าที่โดยมิชอบ (ตาม ป.อาญา ม. 157) และกำหนดโทษให้ชัดเจนทั้งทางแพ่งและอาญา อ้างกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 74 และมาตรา 28 วรรค 2, 3 โดยไม่ต้องมีบทบัญญัติเพิ่มเติมก็คงจะได้
กฎหมายใหม่ที่ว่านี้ควรให้อำนาจภาคเอกชนติดตามดำเนินคดีโดยตรงต่อบุคคลและหน่วยงานที่ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ (โดยไม่ต้องผ่านกลไกของรัฐซึ่งขาดความน่าเชื่อถือ) ต่อศาลอาญา ศาลแพ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญ
กฎหมายดังกล่าวควรมีสาระส่งเสริมภาคเอกชนให้จัดตั้งกฎไกขึ้นเพื่อติดตามดำเนินคดีต่อหน่วยงานและ/หรือบุคคลที่ต้องหาว่าทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เช่นคดี(หรือไม่เป็นคดี) Elite Card และคดีนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด (ดังกล่าวแล้วในข้อ 1) คดี “คาร์บ๊อง” (ไปถึงไหนแล้ว?) คดีสังหารหมู่กรือเซะ (มีผู้บงการยิงถล่มมัสยิดมีคนตาย 32 คน) คดีตากใบ (ยิงผู้ชุมนุมตายและอัดตายในรถ 85 คน) คดีฆ่าตัดตอนผู้ค้ายาเสพติด (ตาย 2,838 คน) คดีกบฏ-ก่อการร้ายโดยกองกำลังติดอาวุธคนเสื้อแดงถูกแช่แข็งไว้ที่ไหน? การแจกเงินให้ผู้ตายและบาดเจ็บที่สังกัดกองกำลังติดอาวุธของคนเสื้อแดงนั้นใช้หลักกฎป่าของคนป่าเถื่อนชาติใด? คดีนักการเมืองสำคัญๆ หนีคุก ผู้มีหน้าที่ไปจับตัวมาไปอยู่ไหนหมด? คดีที่ทักษิณตกเป็นผู้ต้องหาอีกประมาณ 10 คดี ใครเอาไปดองไว้? ในการเลือกตั้งส.ส. ปี 2554 นั้น มีพรรคการเมืองและนักการเมืองพรรคใหญ่ทำผิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้งและมีหลักฐานชัดเจน ทำไมกกต. ไม่ดำเนินคดี? ดังนี้เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป เราอย่าร่วมมือกับผู้ที่เป็นโรครัฐธรรมนูญขึ้นสมอง แต่จงมาช่วยกันเอาผิดผู้ใช้รัฐธรรมนูญและกฎหมายโดยทุจริต เราต้องช่วยกันรักษาโรคการเมืองไทยให้ตรงตามอาการที่ปรากฏ เมื่อกลไกของรัฐบกพร่อง เราต้องช่วยกันผลักดันสร้างกลไกภาคเอกชนขึ้นมาทำงานแทน เพื่อติดตามดำเนินคดีโดยตรงต่อบุคคลและกลไกของรัฐที่ไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ ประเด็นนี้เราต้องการกฎหมายเพิ่มเติม และอันนี้ถ้าทำสำเร็จเมื่อไรจะมีผลป้องปรามการคอร์รับชั่น การกุมอำนาจเบ็ดเสร็จของแก๊งการเมือง และการปฏิวัติ-รัฐประหาร