การเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญ
1.ความเห็นเบื้องต้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญ
1)ในที่นี้ การแก้ไขหมายถึงการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ (amendment) ซึ่งใช้กระบวนการปกติตามมาตรา 291 ดังเช่นที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมระบบเลือกตั้ง ส.ส. และ มาตรา 190 สมัยรัฐบาล อภิสิทธิ์
2)การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญหมายถึงการแก้ไขเพิ่มเติมอย่างกว้างขวาง หรือยกร่างขึ้นใหม่ ในกรณียกร่างใหม่ ควรจะถกแถลงกันถึง ปรัชญาหรืออุดมการณ์แห่งชาติ ที่จะใช้เป็นกรอบในการร่าง เพื่อให้ได้ความเห็นพ้องในขั้นหนึ่งก่อนหรือไม่
3)การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญอาจทำโดยไม่ต้องแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 291 เช่นใช้ข้อเสนอของ คอ.นธ. ที่มีอาจารย์อุกฤษ มงคลนาวิน เป็นประธาน โดยให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ 30-35 คนทำหน้าที่ยกร่าง รัฐธรรมนูญใหม่
4)การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญอาจทำโดยแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 291 ซึ่งเปิดทางให้มีการจัดตั้ง “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” หรือ สสร. (สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ)
5)สสร. อาจมีที่มาจากการคัดเลือก ดังเช่นที่เคยกระทำกันในปี 2539 และ 2549 เพื่อให้ได้ สสร. มายกร่าง รัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 ตามลำดับ
6)สสร. อาจมีที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ไม่จำเป็นต้องมีการเลือกตั้งใหม่ เช่นมอบอำนาจให้ ส.ว. ที่มาจากการเลือกตั้งให้ทำหน้าที่ สสร. ซึ่งเป็นข้อเสนอของคุณสดศรี สัตยธรรม โดยอาจมี สสร. ประเภทผู้เชี่ยวชาญที่มาจากการคัดเลือกมาร่วมเป็น สสร. ด้วยหรือไม่ก็ได้
7)สสร. อาจมาจากการเลือกตั้งใหม่ โดยอาจมี สสร. ประเภทผู้เชี่ยวชาญที่มาจากการคัดเลือกมาร่วมเป็น สสร. ด้วย (ตามข้อเสนอของหลายฝ่าย) หรือไม่มี (ตามข้อเสนอของนายแพทย์เหวง โตจิราการ) ก็ได้
8)คำถามสำคัญที่ควรถกแถลงคือ ควรใช้กระบวนการใดในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พลเมืองเกือบทั้งหมดยอมรับได้ และน่าจะนำไปสู่รัฐธรรมนูญที่ดีพร้อมในหลักการ โดยมีทั้งความเป็นสากลและความสอดคล้องกับบริบทสังคมการเมืองไทย
9)ในสมมุติฐานที่ว่าจะมี สสร. จากการเลือกตั้ง จะใช้ระบบเลือกตั้งใดจึงจะเหมาะสม
10)ในสมมุติฐานที่ว่าจะมี สสร. ประเภทผู้เชี่ยวชาญจากการคัดเลือก จะใช้กระบวนการคัดเลือกใดจึงจะเหมาะสม
2.ความเห็นเบื้องต้นเกี่ยวกับการเลือกตั้ง สสร.
1)ระบบเลือกตั้งแบ่งได้เป็นตระกูลหลักสองตระกูลคือ ระบบคะแนนนำ/เสียงข้างมาก (plurality/majority) และระบบสัดส่วน
2)ข้อดีของระบบแรกคือความเรียบง่าย โดยทั่วไปผู้ลงคะแนนเลือกผู้สมัครคนหนึ่ง ผู้สมัครที่มีคะแนนนำจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง (ระบบคะแนนนำกำชัย หรือ First Past the Post-FPTP) ถ้ากำหนดว่าผู้ชนะต้องได้เสียงข้างมาก (เกินกึ่งหนึ่ง) ก็อาจใช้ระบบเลือกตั้งสองรอบ ข้อดีอีกประการหนึ่งคือ ระบบนี้มักใช้กับเขตเดียวเบอร์เดียว ทำให้ผู้แทนสามารถใกล้ชิดกับผู้ลงคะแนน ข้อเสียที่สำคัญคือ มีคะแนนสูญเปล่า เพราะผู้ชนะอาจได้คะแนนเพียง 25 % แต่ถ้าคะแนนเท่านี้ก็นำหน้าคนอื่น ๆ แล้ว ก็จะชนะการเลือกตั้ง ทำให้คะแนนอีก 75 % ไม่ถูกนำไปใช้ หรือผู้ลงคะแนน 75% ไม่มีตัวแทนในสภา ข้อเสียที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ สภาที่ใช้ระบบนี้ มักไม่มีความเป็นสัดส่วน เช่น พรรคการเมืองที่ได้คะแนนนิยมทั้งประเทศ เพียง 40% อาจมีที่นั่งเกินครึ่งในสภา ส่วนพรรคที่มีคะแนนนิยม 20% อาจมีที่นั่งต่ำกว่า 5 % หมายความว่าสภาไม่สามารถสะท้อนความเห็นหรือเสียงของผู้ลงคะแนนได้ดีเท่าที่ควร เสียงข้างน้อยมักไม่มีตัวแทนหรือมีก็น้อยเกินไป
3)ข้อดีของระบบสัดส่วนคือการความเป็นตัวแทนตามสัดส่วนคะแนนเสียง แต่ก็ใช้เขตเลือกตั้งใหญ่ขึ้น ทำให้ผู้แทนกับผู้ลงคะแนนใกล้ชิดกันน้อยลง และถ้าพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้ง ในสัดส่วนที่ตรงตามคะแนนนิยมของพรรคนั้น ๆ มีจำนวนมาก เพราะนิยมแบบกระจัดกระจาย พรรคการเมืองก็อาจรวมตัวกันไม่ติดในสภา ทำให้ไม่สามารถจัดตั้งเสียงข้างมากในสภาที่มีเสถียรภาพ
4)ถ้าใช้ระบบคะแนนนำกำชัย (FPTP) เลือก สสร. จังหวัดละคน ผู้สมัครที่อิงคะแนนเสียงของพรรคการเมืองที่มีคะแนนนิยมในจังหวัดนั้น ก็จะได้รับเลือกตั้ง เนื่องจากในการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนิยมในตอนเหนือและอีสาน พรรคประชาธิปัตย์ในตอนใต้ ส่วนตอนกลางมีหลายพรรค สสร. ก็น่าจะสะท้อนคะแนนเสียงดังกล่าว
5)ถ้าใช้ระบบเลือกตั้งแบบคะแนนเดียวโอนไม่ได้ (Single Non-Transferable vote - SNTV) ดังที่เคยใช้เลือกตั้ง ส.ว. ตามรัฐธรรมนูญ 2540 เพื่อเลือกตั้ง สสร. ผลที่ได้น่าจะอยู่ระหว่างการใช้ระบบคะแนนนำกับระบบสัดส่วน คือโอกาสของเสียงข้างน้อยที่จะได้รับเลือกตั้งจะมีมากขึ้น อย่างไรก็ดี ถ้าใช้ระบบนี้เลือก สสร. จังหวัดละสองคน (คล้ายกับระบบสองชื่อ หรือ binominal system ที่ใช้และมีปัญหาอยู่ในประเทศชิลี ยุคหลังปีโนเชต์) ผลที่คาดว่าจะได้รับคือ ผู้สมัครที่อิงคะแนนเสียงของสองพรรคที่มีคะแนนนิยมในจังหวัดนั้น จะได้รับเลือกตั้ง ระบบนี้เอื้อประโยชน์ชัดเจนแก่ผู้อิงคะแนนพรรคที่ (โดยภาพรวมของประเทศ) มีคะแนนนิยมเป็นที่สอง เพราะจะทำให้ได้ที่นั่งใกล้เคียงกับผู้อิงคะแนนพรรคที่ได้คะแนนนิยมเป็นที่หนึ่ง โดยจะเบียดขับผู้อิงคะแนนพรรคที่เล็กกว่าออกไป
6)ถ้าใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง ไม่ว่าจะมี สสร. 1 หรือ 2 คนต่อจังหวัด ย่อมจะขัดต่อหลักการสำคัญของการเลือกตั้ง เพราะจังหวัดมีประชากรไม่เท่ากัน การมีตัวแทนเท่ากันย่อมไม่เป็นไปตามหลักการ “หนึ่งคน หนึ่งเสียง หนึ่งมูลค่า” (One Person, One Vote, One Value)
3.ข้อเสนอทางเลือกที่ 1: การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยใช้กระบวนการปกติ ตาม มาตรา 291
4.ข้อเสนอทางเลือกที่ 2 : การแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ
(ดัดแปลงจากข้อเสนอของ คอ.นธ.)
1)ข้อเสนอของ คอ.นธ. ให้แต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญมีข้อดีที่เรียบง่าย ปฏิบัติได้รวดเร็ว แต่อาจมองได้ว่าขาดการมีส่วนร่วม และอาจไม่รวมทุกฝ่ายได้เพียงพอ โดยมองได้ว่าเป็นเรื่องของคณะรัฐมนตรีเป็นหลัก
2)เพื่อลดทอนจุดอ่อนของข้อเสนอนี้ จะขอทดลองเสนอเกี่ยวกับที่มาของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ โดยเปลี่ยนจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี มาเป็นมีคณะกรรมการสรรหากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย
2.1) นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทน
2.2) ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้แทน
2.3) ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้แทน
2.4) ประธานวุฒิสภาหรือผู้แทน
3)คณะกรรมการสรรหาจะสรรหาบุคคลในจำนวนสามเท่าของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่พึงมี เช่นสรรหามา 90 คน หากจะให้มีกรรมการฯ 30 คน
4)เกณฑ์คุณสมบัติของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอาจเป็นดังนี้
4.1) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
4.2) มีคุณวุฒิ วัยวุฒิ และประสบการณ์ที่เหมาะสมแก่ภารกิจ
4.3) มีสิทธิเลือกตั้งและไม่อยู่ในระหว่างการเพิกถอนสิทธิ
5)เกณฑ์การสรรหากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ อาจเป็นการสรรหาให้ได้บุคคลดังนี้
5.1) มีความหลากหลายทางอาชีพ รวมทั้งอาชีพนักการเมืองในจำนวนที่เหมาะสม
5.2) มีความหลากหลายทางความคิดทางการเมือง ทั้งความคิดกลาง ๆ และความคิดที่เอนเอียงไปทางฝ่ายต่าง ๆ บ้าง แต่ไม่ถึงกับสุดโต่ง
5.3) มีความหลากหลายทางภูมิลำเนา โดยมีสัดส่วนจากภูมิภาคต่าง ๆ ที่ใกล้เคียงกับสัดส่วนประชากรของภูมิภาค
5.4) มีจำนวนผู้หญิงใกล้เคียงกับจำนวนผู้ชาย
6)คณะกรรมการสรรหาฯ เสนอชื่อผู้ที่ได้รับการสรรหาให้แก่รัฐสภา เพื่อลงคะแนนเสียงเลือก โดยสมาชิกรัฐสภาคนหนึ่ง มีสิทธิเลือกผู้ที่ได้รับการสรรหา ไม่เกินหนึ่งในสามของจำนวนกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่พึงมี เช่น ลงคะแนนได้คนละ 10 เสียง หากจะให้มีกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 30 คน
7)ผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดได้รับการเลือกตั้งจากรัฐสภาให้เป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ กรณีมีผู้ที่ได้คะแนนเท่ากันอันอาจทำให้ได้ สสร. เกินกว่าจำนวนที่พึงมี ให้สมาชิกรัฐสภาลงคะแนนเสียงอีกรอบหนึ่งระหว่างผู้ที่ได้คะแนนเท่ากันนั้น โดยลงคะแนนไม่เกินหนึ่งในสาม ยกเว้นกรณีเหลือสองคน 5.ข้อเสนอทางเลือกที่ 3: การเลือกตั้งโดยใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง
(ดัดแปลงจากข้อเสนอของสมาชิกพรรคเพื่อไทยและของผู้นำฝ่ายค้าน)1)ข้อเสนอที่ให้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งมีความเรียบง่าย แต่มีข้อเสียที่สำคัญคือ จำนวนประชากรในจังหวัดไม่เท่ากัน จึงขอเสนอให้จำนวน สสร. ในแต่ละจังหวัด สามารถมีได้มากกว่าหนึ่งคน ตามสัดส่วนประชากร เช่นถ้าต้องการ สสร. จำนวนประมาณ 80 คน โดยประชากรทั้งประเทศมีประมาณ 64 ล้านคน ก็ให้เกณฑ์ สสร. 1 คน ต่อประชากร 8 แสนคน
2)จากตัวอย่างจำนวน สสร. และประชากรข้างต้น อาจวางเกณฑ์ดังนี้
2.1) จังหวัดที่มีประชากรน้อยกว่า 0.8 ล้านคน มี สสร. 1 คน
2.2) จังหวัดที่มีประชากรระหว่าง 0.8 ล้านถึง 1.6 ล้านคน มี สสร. 2 คน
2.3) จังหวัดที่มีประชากรระหว่าง 1.6 ล้านถึง 2.4 ล้านคน มี สสร. 3 คน ฯลฯ
กรุงเทพมหานครมีประชากรมาก ควรแบ่งเป็นสองเขตเลือกตั้ง คือ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็น 1 เขต ฝั่งตะวันออกเป็นอีกหนึ่งเขต แต่ละเขตมีจำนวน สสร. คิดตามเกณฑ์ประชากรข้างต้นเช่นกัน
3)ในกรณีที่เขตเลือกตั้งมี สสร. หลายคน ยังควรให้ผู้ลงคะแนนเลือกผู้สมัครได้คนเดียว หรือใช้ระบบเลือกตั้งแบบคะแนนเดียวโอนไม่ได้ (SNTV) ระบบนี้เคยใช้กับการเลือกตั้ง ส.ว. ตามรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งผู้ลงคะแนนเลือกผู้สมัครได้คนเดียว แม้ว่าในเขตนั้นจะมีหลายที่นั่งก็ตาม วิธีนี้หลีกเลี่ยงคะแนนเสียงเป็นบล็อก (block vote) ถ้ามีการเลือกตั้งเป็นบล็อก ดังที่เคยเลือกตั้ง ส.ส. ในระบบที่เรียกกันว่าเขตเดียวเรียงเบอร์ หรือพวงเล็ก ซึ่งอาจจะทำให้มีคะแนนสูญเปล่า คล้ายการเลือกตั้งในระบบคะแนนนำกำชัย แต่ถ้าใช้ระบบคะแนนเดียวโอนไม่ได้ จะทำให้ได้ผู้ชนะที่เป็นตัวแทนความคิดที่หลากหลาย รวมทั้งเสียงข้างน้อย ตรงตามหลักการที่จะรวมทุกฝ่าย (inclusiveness) โดยหวังว่าจะนำไปสู่รัฐธรรมนูญที่ทุกฝ่ายรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของนั่นเอง6.ข้อเสนอทางเลือกที่ 4: ใช้กลุ่มจังหวัดที่มีประชากรเท่า ๆ กันเป็นเขตเลือกตั้ง
1)ขอเสนอให้ใช้ระบบเลือกตั้งแบบคะแนนเดียวโอนไม่ได้ (SNTV) กับเขตเลือกตั้งที่มีขนาดเท่ากัน นั่นคือมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกัน และมีตัวแทน (สสร.) เท่ากัน ซึ่งจะสอดคล้องกับหลักการ “หนึ่งคน หนึ่งเสียง หนึ่งมูลค่า” อย่างสมบูรณ์กว่าข้อเสนอทางเลือกที่ 3 ซึ่งเขตเลือกตั้งมี สสร. จำนวนไม่เท่ากัน
2)การแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นเรื่องสำคัญ ในการเลือกตั้ง ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อก่อนครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งแรก ตามรัฐธรรมนูญ 2550 (ต่อมามีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในประเด็นนี้) มีการจัดแบ่งพื้นที่ประเทศเป็น 8 กลุ่มจังหวัด และให้แต่ละกลุ่มจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยแต่ละเขตเลือกตั้งให้มี ส.ส. ได้ 10 คน แม้มีข้อวิจารณ์ว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งดังกล่าว อาจไม่สมบูรณ์แบบ เช่น มีการรวมจังหวัดที่อยู่ต่างภูมิภาคให้อยู่ในเขตเดียวกัน แต่ถ้าจะคงการแบ่งเขตเป็น 8 เขตเหมือนที่เคยใช้ ก็ใช้ได้เลย และผู้ลงคะแนนก็มีความคุ้นเคยระดับหนึ่งแล้ว ถ้าให้มี สสร. 10 คนต่อเขต ก็จะได้ สสร. จากการเลือกตั้ง 80 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับกรณี จังหวัดละคน อย่างไรก็ดี จะลดเหลือเขตละ 9 หรือ 8 คน ก็ได้
3)สรุปข้อเสนอคือ ใช้เขตเลือกตั้ง 8 เขต แต่ละเขตมี สสร. หลายคนเท่ากัน เช่น 10 คน ผู้ลงคะแนนเลือกผู้สมัครได้คนเดียว ผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้งคือผู้สมัครตามจำนวนที่นั่งที่มี (เช่น 10 คนแรก ถ้ากำหนดให้มี สสร. เขตละ 10 คน) ซึ่งมีคะแนนนำเหนือผู้สมัครคนอื่น ๆ 7.ความเห็นเบื้องต้นเกี่ยวกับประเด็นผู้เชี่ยวชาญและอื่น ๆ
1)ประเด็นถัดไปที่ควรพิจารณาคือ ควรจะมี สสร. ประเภทผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ พิจารณาดูแล้วก็คิดว่าน่าจะมี แต่ก็ควรคัดเลือกให้ได้ความคิดที่หลากหลายเช่นกัน วิธีหนึ่งก็จะคล้ายวิธีคัดเลือก สสร. ในปี 2549 คือให้มีการสมัครหรือเสนอชื่อ และมีคณะกรรมการกลั่นกรองคุณสมบัติ แล้วให้เลือกกันเอง แบบคะแนนเสียงเดียวโอนไม่ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงคะแนนเสียงเป็นบล็อก เพื่อคัดเลือกให้ได้เกินกว่าจำนวนที่ต้องการสักสามเท่า สุดท้ายสมาชิกรัฐสภาลงคะแนนเลือกตั้ง โดยลงคะแนนได้ไม่เกินหนึ่งในสามของจำนวนที่ต้องการ เพื่อลดจำนวนผู้ผ่านการคัดเลือกลงให้เท่ากับจำนวน สสร. ประเภทผู้เชี่ยวชาญที่ต้องการ
2)ประเด็นการแต่งตั้งคณะกรรมการของสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อมาทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญก็มีความสำคัญมากเช่นกัน การแต่งตั้งดังกล่าว จะให้เป็นสิทธิของสภาร่างรัฐธรรมนูญก็ได้ หรือจะให้ฝ่ายอื่นมีส่วนร่วม ในที่นี้ขอเสนอว่าน่าจะมีกรรมการที่เป็น สสร. จำนวนหนึ่ง กับกรรมการที่มาจากภาคส่วนอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง เช่น ขากพรรคร่วมรัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน วุฒิสภา ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม เป็นต้น แต่สัดส่วนต้องไม่มากนัก เช่นไม่เกินกึ่งหนึ่งของกรรมการที่เป็น สสร.
3)ก่อนการยกร่าง สภาร่างรัฐธรรมนูญควรนำเรื่อง ปรัชญาหรืออุดมการณ์แห่งชาติ เข้าสู่การถกแถลงอย่างจริงจัง รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนด้วย ทั้งนี้เพื่อที่จะใช้เป็นกรอบในการร่างอันเป็นที่เห็นพ้องต้องกันในวงกว้าง จากนั้นคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญควรกำหนดแนวคิดหรือประเด็นสำคัญ ๆ ที่ควรรับฟังความเห็นจากประชาชน แล้วมีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวคิดและประเด็นดังกล่าวอย่างกว้างขวางอีกเช่นกัน
4)เมื่อยกร่างเสร็จแล้ว น่าจะเปิดโอกาสให้องค์กรต่าง ๆ ได้เสนอการแปรญัตติด้วย คล้ายกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 แต่ต้องให้เวลากับการแปรญัตติพอสมควร และระมัดระวังการสอดแทรกประเด็นที่ขาดการกลั่นกรองเข้ามาในขั้นตอนนี้ ซึ่งเคยเกิดมาแล้วในการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550
5)ดูเหมือนว่าจะมีความเห็นพ้องพอสมควรว่า เมื่อร่างผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ควรให้มีการออกเสียงประชามติ ว่าจะรับหรือไม่รับร่าง ถ้ารับก็ประกาศใช้ ถ้าไม่รับ ก็ใช้รัฐธรรมนูญ 2550 ต่อไป และจะต้องเว้นวรรคเวลาอีกหลายปี กว่าจะสามารถหยิบยกกระบวนการ สสร. ขึ้นมาใหม่ได้ 8.กระบวนการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญใดที่ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับ
1)มีข้อเสนอเหมือนกันว่า ก่อนการตัดสินใจว่าจะใช้กระบวนการใดดีในเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ถูกใจประชาชน ก็น่าจะให้มีการลงประชามติกันก่อน อย่างไรก็ดี การลงประชามติ เป็นกระบวนการที่สิ้นเปลืองเงินทอง และพลังงานทางการเมืองของสังคมเป็นอย่างมาก และจะตอบได้คำถามเดียวระหว่างทางเลือกสองทาง เช่น จะใช้มาตรา 291 ตามปกติ หรือจะใช้กระบวนการอื่น ถ้าตอบว่าจะใช้กระบวนการอื่น ก็ลงประชามติใหม่ว่าจะแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญหรือจะมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ ถ้าจะมีสภาร่างรัฐธรรมนูญก็ต้องตอบคำถามใหม่ว่าจะคัดเลือก/สรรหา หรือจะเลือกตั้ง สสร. ถ้าจะเลือกตั้ง สสร. ก็ต้องตอบคำถามว่าจะใช้ระบบเลือกตั้งใด เพราะมีทางเลือกหลายทาง (ดูทางเลือกที่ 3 และ 4 ข้างต้น เป็นต้น)
2)มีกระบวนการหนึ่งซึ่งอาจเรียกว่า คณะลูกขุนพลเมือง (citizen’s jury) ซึ่งจะมีการสุ่มตัวอย่างประชากรมาจำนวนหนึ่ง เช่น 100 คน โดยพยายามให้แทนประชากรรวมทั้งหมดอย่างคร่าว ๆ ทั้ง100 คนนี้รวมกันเป็นคณะลูกขุน
3)ผู้เชี่ยวชาญกลุ่มต่าง ๆ ก็คิดโมเด็ลที่ตนเห็นว่าดีที่สุด จะได้มาเสนอให้คณะลูกขุนพิจารณาซักไซ้ไล่เลียงจนเป็นที่พอใจ แล้วคณะลูกขุนจะถกแถลงกันเอง คัดกรองจนเหลือเป็นโมเด็ลทางเลือก ไม่เกิน 3-4 โมเด็ล คราวนี้เป็นหน้าที่ของลูกขุนและคณะผู้เชี่ยวชาญที่เสนอโมเด็ลนั้น ๆ ที่จะสื่อสารกับสาธารณชนจนเป็นที่เข้าใจพอสมควรแล้ว จึงให้คณะวิชาการจัดทำการสำรวจประชามติ (opinion poll) ให้ตรงตามหลักวิชาการ ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนไม่กี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อจะให้ได้มาซึ่งข้อสรุปว่า โมเด็ลทางเลือกใด ประชาชนพร้อมรับได้มากที่สุด
4)ในที่นี้ขอเสนอ 4 โมเด็ลทางเลือกเบื้องต้น เป็นตัวอย่างของการถกแถลงคือ
3.1) แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 ปกติ
3.2) เปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 โดยการแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ
3.3) เปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 291 ก่อน เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้ง สสร. โดยใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง จำนวน สสร. ในแต่ละเขตขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร ทั้งนี้ใช้ระบบคะแนนเสียงเดียวโอนไม่ได้
3.4) เปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 291 ก่อน เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้ง สสร. โดยใช้กลุ่มจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยที่แต่ละกลุ่มจังหวัดมีประชากรใกล้เคียงกัน และมี สสร. เท่ากัน ทั้งนี้ใช้ระบบคะแนนเสียงเดียวโอนไม่ได้