ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทางรอดเศรษฐกิจไทย
การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ ในปี 2558 นอกจากจะทำให้อาเซียนมีตลาด มีฐานการผลิตร่วมกัน มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน เงินทุน และแรงงานมีฝีมืออย่างเสรีแล้ว ยังขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันของประเทศสมาชิกให้สะดวกและมีศักยภาพในการแข่งขันกับโลก ทำให้อาเซียนเป็นเขตการลงทุนที่น่าสนใจทัดเทียมจีน และอินเดีย การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะทำให้การแข่งขันในภูมิภาคอาเซียนรุนแรงมากขึ้น แต่ถ้าประเทศไทยสามารถสู้ได้ก็จะได้รับประโยชน์อย่างมาก
ประเทศไทย ในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียน ต้องเร่งปรับตัวเพื่อดึงการค้า การลงทุน และการบริการ จากต่างประเทศให้ได้มากที่สุด ทั้งภาคบริการ ท่องเที่ยว ค้าปลีก และ logistics ด้วยปัจจัยที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบในแง่ของการเป็นศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน เชื่อมระหว่างอาเซียนเก่า ( ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และ บรูไน) และอาเซียนใหม่ ( พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม)
จีน เป็นประเทศหนึ่งที่ประเทศไทยไม่ควรมองข้าม ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจจีน ที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2554 มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ร้อยละ 9.2 คิดเป็น มูลค่า GDP เท่ากับ 7.26 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนในปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวร้อยละ 8.2 - 8.8 แม้จะเป็นอัตราการขยายตัวที่ลดลงจากปี 2554 แต่จีนยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพการลงทุนสูง โดยเฉพาะการลงทุนต่างประเทศของจีน ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนเพียงครึ่งหนึ่งของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมดในจีน และอนาคตนับจากนี้ไปจีนจะให้ความสำคัญกับการขยายการลงทุนกับประเทศในกลุ่มอาเซียนเพิ่มมากขึ้น จากปัจจัยดังกล่าว ประเทศไทยควรแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกับจีนให้มากที่สุด ทั้งด้านการค้า การลงทุน การบริการ และการท่องเที่ยว โดยอาศัยความได้เปรียบของประเทศไทยด้านภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียน เชื่อมระหว่างอาเซียนเก่า และอาเซียนใหม่ ซึ่งจะทำให้สินค้าและบริการของจีนเข้าสู่ตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันประเทศไทยยังเป็นฐานสำคัญในการส่งออกสินค้าสู่ตลาดจีน
แม้ประเทศไทยจะมีความได้เปรียบหลายด้านในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกัน แต่จะนิ่งนอนใจไม่ได้ ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัว เพื่อต่อสู้กับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น เพราะขณะนี้แต่ละประเทศมีการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของตัวเองอย่างมาก โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียนใหม่ ซึ่งประกอบด้วย พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ไทยจะสามารถดึงเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาลได้มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมของประเทศ
ไทยต้องเตรียมความพร้อมมีการบริหารจัดการเชิงรุก มองทั้งมุมบวกและลบศึกษาเป็นรายประเทศ โดยเฉพาะประเทศกลุ่มอาเซียนใหม่ ขณะเดียวกันภาครัฐต้องสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการดึงเม็ดเงินลงทุนด้วยการดูแลการบริหารจัดการน้ำให้เป็นระบบป้องกันไม่ให้น้ำท่วม ลดกฎระเบียบที่มีความซับซ้อน ปรับโครงสร้างภาษีให้ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านเนื่องจากปัจจุบันโครงสร้างภาษีของไทยมีการจัดเก็บในอัตราที่สูง เป็นอุปสรรคสำคัญในการลงทุนจากต่างประเทศ ความพร้อมของระบบโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาระบบ Logistics รองรับการลงทุน
พม่า จะกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของประเทศไทย จากการที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่าเปิดประเทศ เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) พม่าจะกลายเป็นประเทศที่น่าสนใจในสายตาต่างชาติ และนำมาซึ่งสู่การลงทุนในหลายด้าน และด้วยปัจจัยที่พม่ามีทรัพยากรทางธรรมชาติจำนวนมาก มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ (GDP) เพียง 1 ใน 11 ของประเทศไทย มีพื้นที่มากกว่าไทยถึงร้อยละ 20 และหากการเมืองในพม่ามีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น พม่าจะกลายเป็นประเทศที่มีศักยภาพน่าลงทุนมาก
แนวโน้มการเติบโตที่สูงขึ้นของพม่า เป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องปรับตัวโดยเร็ว โดยเฉพาะ ด้านแรงงานที่ประเทศไทยต้องพึ่งพาแรงงานพม่าอยู่อย่างถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมายกว่า 4-5 ล้านคน และมีแนวโน้มว่าแรงงานพม่าเหล่านี้จะเดินทางกลับถิ่นฐานเพื่อกลับไปเป็นแรงงานที่มีคุณภาพในพม่า และการบริหารจัดการ ด้านการลงทุนที่เปลี่ยนไปตามปัจจัยที่ได้รับผลกระทบด้านแรงงาน ไทยจำเป็นต้องพัฒนาศักยภาพแรงงานไทยเพิ่มขึ้น พัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยี ในขณะเดียวก็ต้องพัฒนาด้านภาษาไปพร้อมๆ กันด้วยเพราะต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีปัญหามากในเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษ ในขณะที่พม่าสามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี
หากประเทศไทยยังไม่เร่งปรับตัว ให้พร้อมกับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ก็มีโอกาสสูงที่การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยจะอยู่ในระนาบเดียวกับพม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม และมีความเป็นไปได้ที่การพัฒนาเศรษฐกิจของพม่า จะแซงหน้าประเทศไทยได้ในอนาคต
ข้อมูลจาก : http://www.cpthailand.com