“ปองพล” ขายโปรเจกต์สำรอง วางท่อ “กัก-ชะลอ-เบี่ยงน้ำ” ลงทุนครั้งเดียวคุ้ม!
"วางแนวท่อ คือ คำตอบ ที่ไม่ต้องหาแก้มลิง 2 ล้านไร่ สร้างกำแพงสูง
หรือวิตกว่าน้ำจะมามาก เพราะมีการระบายน้ำที่ควบคุมได้ 30 ล้านลบ.ม./วัน"
แผนบริหารจัดการน้ำทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เริ่มคลี่แผนฯ ออกมาแล้วทั้งการกำหนดพื้นที่แก้มลิง 2 ล้านไร่ (ยังไม่มีทีท่าจะจบง่ายๆ เพราะชาวบ้านยังไม่เห็นตัวเลขค่าชดเชย) การสร้างทางน้ำหลาก หรือฟลัดเวย์ ปรับปรุง ขยับขยาย ขุดลอกคูคลอง ซ่อมประตูระบายน้ำ และการเข้าไปดูแลเขตเมือง รวมถึงพื้นที่เศรษฐกิจ
ทั้งหมดพอจะทำให้คนไทยสบายใจขึ้น หรือนักลงทุนเชื่อมั่นได้หรือไม่นั้น ในฐานะที่ต้องตกเป็นผู้ประสบภัยโดยไม่รู้ตัว จากน้ำท่วมใหญ่คราวที่แล้ว โรงงานทอผ้า 2 แห่ง ของ "ปองพล อดิเรกสาร" อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ หลักสี่ และที่จ.ปทุมธานี ถูกน้ำทะลักเข้าท่วมสูงเกือบ 2 เมตร เครื่องจักรพังหมด ถึงวันนี้ เรียกได้ว่า ยังอยู่ในช่วงของการฟื้นฟู โดยเขาคาดว่า เดือนเมษายน ถึงจะกลับมาเดินเครื่องจักรได้ตามปกติ
"ผมต้องเดินทางไปบึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.สระบุรีบ่อยครั้ง เพราะผมอยู่ที่นั่น (บ้านที่สระบุรี) จึงเป็นพื้นที่ที่ผมเข้าใจภูมิประเทศเป็นอย่างดี" นักการเมือง ผู้ผันตัวเองมาสนใจเรื่องการถ่ายภาพ และทำรายการทีวี เกี่ยวกับชีวิตสัตว์ ทั้งในและต่างประเทศ เริ่มต้นขายแนวคิดการบริหารจัดการน้ำ แบบแก้ปัญหาที่ลงทุนครั้งเดียว "น้ำไม่ท่วมแน่" แถมจะช่วยได้ทั้งน้ำท่วม-น้ำแล้ง กับ "ศูนย์ข่าวสารนโยบายสาธารณะ" ไว้ดังนี้
สิ่งที่ท่านเห็น เป็นต้นตอของปัญหาน้ำท่วมเมื่อปี 2554 คืออะไร
ผมเห็นมาตลอดว่า จากป่าน้ำโพ จ.นครสวรรค์ ทั้งแม่น้ำทั้งสี่แคว (ปิง วัง ยม น่าน) ล้วนไหลรวมเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา และเป็นต้นตอของปัญหาน้ำท่วม ตั้งแต่ จ.ชัยนาท จ.สิงห์บุรี จ.อ่างทอง กระทั่ง จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อน้ำเหนือที่มากอยู่แล้ว ถูกสมทบด้วยแม่น้ำลพบุรีและแม่น้ำป่าสัก ทำให้ปริมาณน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยายิ่งมหาศาลเกือบเท่าตัว กระทบให้ จ.ปทุมธานี จ.นนทบุรี ตลอดจนกรุงเทพฯ ท่วมหนัก
ผมจึงเกิดแนวคิดที่จะนำมาจัดการกับแม่น้ำเจ้าพระยา 3 ประการ คือ 1.กักเก็บน้ำ 2.ชะลอน้ำ 3.เบี่ยงน้ำ
เริ่มจากปากน้ำโพ พื้นที่ที่สามารถดำเนินการ 3 ประการข้างต้นได้ คือ "บึงบอระเพ็ด" ซึ่งมีพื้นที่ 133,000 ไร่ (อาณาเขตดั้งเดิม) แต่ปัจจุบันก็ถูกชาวบ้านบุกรุกไปทำการเกษตรบ้าง
1.ใช้บึงบอระเพ็ดทำเขต โดยการขุดลอก ให้เป็นแก้มลิงขนาดใหญ่ และดินที่ได้นำมาทำคันบอกแนวเขตบึง ทั้งนี้ หากเป็นไปได้ควรขุดให้ลึกและขยายอาณาเขตออกไปจะช่วยในการกักเก็บน้ำได้มาก
2.วางแนวท่อต่อจากบึงบอระเพ็ดไป 100 กิโลเมตร ลงมาที่ "เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์"
ผมเลือกการวางท่อ ที่จะใช้ท่อเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เมตร ซึ่งจะระบายน้ำได้ 30 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวันไปยังเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ โดยอาจจะเป็นแนวคิดที่ต่างกับกรมชลประทาน ที่เลือกการขุดคลองระบายน้ำ
ผมเห็นว่า วิธีขุดคลองเป็นวิธีที่ล้าสมัย และไม่สามารถควบคุมน้ำปริมาณมากๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคลองยังมีปัญหาคนบุกรุก ตื้นเขินและน้ำล้นตลิ่ง
3.วางแนวท่อจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ต่อไปยัง "แก่งคอย" และต่อไปออกทะเล "แหลมฉบัง" ที่มีชุมทางรถไฟขนส่งสินค้าออกอยู่แล้ว ผลดี คือ การใช้พื้นที่นี้ไม่ต้องเวนคืนที่ดินชาวบ้าน และเขตทางรถไฟก็กว้างพอที่จะวางท่อเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 3 เมตรนี้ได้จนสุดแหลมฉบังประมาณ 220 กิโลเมตร
ทำไมถึงเลือกวิธีการวางท่อ
"การวางแนวท่อ เป็นการเบี่ยงและชะลอน้ำแบบควบคุมได้ ซึ่งจะสามารถลดปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลจากแม่น้ำเจ้าพระยา และแก้ปัญหาได้ทั้งน้ำท่วม-น้ำแล้ง
การจะปล่อยให้น้ำไหลไปตามแม่น้ำหรือคลองธรรมชาติต้องใช้เวลามาก เมื่อก่อนจากอยุธยาลงแม่น้ำเจ้าพระยา ใช้เวลา 1 เดือน แต่เดี๋ยวนี้ต้องใช้เวลา 3 เดือน เนื่องจากทางระบายน้ำตื้นเขินและมีสิ่งกีดขวาง"
วิธีนี้จะระบายน้ำได้ทันเวลาหรือไม่ และใช้งบฯ เท่าไหร่
ผมว่าการวางท่อสมัยนี้ทำได้รวดเร็ว สามารถหล่อท่อคอนกรีต และใช้เฮลิคอปเตอร์ยกมาวางได้เลย
ส่วนเรื่องงบประมาณ แม้ยังไม่ได้มีการคำนวณอย่างถูกต้องนัก แต่หากเปรียบเทียบกับงบประมาณกว่าแสนล้านที่รัฐบาลจะใช้ในการขุดลอกคลองชัยนาท-ป่าสักให้ลึกขึ้นนั้น เชื่อว่า วิธีวางแนวท่อของผม จะใช้เงินไม่ถึงขนาดนั้น แต่มีความแน่นอนกว่า และไม่ต้องลงทุนหลายครั้ง
"ผมว่า แสนล้านบาทนี้ต้องลงทุนกันใหม่ทุกปี เพราะต้องขุดลอกคลองกันทุกปี อีกทั้งยังมีปัญหากับชาวบ้านด้วย"
4.ทำเขื่อนกั้นที่อำเภอแก่งคอย ใต้เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เพราะแม่น้ำตรงนี้คดเคี้ยว ลึกและมีตลิ่งสูงมาก จะเป็นแก้มลิงที่จะชะลอน้ำเก็บไว้เมื่อหน้าแล้งได้ และต่อแนวท่อสูบน้ำไปลงที่แหลมฉบัง เราก็จะสามารถควบคุมและบริหารจัดการน้ำได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม แต่หากไม่ต้องการวางแนวท่อ ก็สามารถขุดคลองแทนได้ ซึ่งประชาชนอาจจะชอบ เพราะสามารถทำเกษตรกรรมได้ด้วย
220 กิโลเมตรก่อนจะถึงแหลมฉบัง อาจจะแยกท่อลง "คลองระพีพัฒน์" "คลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต" หรือ "แม่น้ำบางปะกง" ก็จะได้ประโยชน์หลายอย่าง เพราะบ้านเราพื้นที่น้ำท่วม กับพื้นที่น้ำแล้งล้วนเป็นพื้นที่เดียวกัน
ฉะนั้น "ท่อ" จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ควบคุมน้ำได้ทุกฤดู ส่วน "คลอง" ไม่มีความแน่นอน หากน้ำล้นก็จัดการลำบาก
5.สร้างหมู่บ้านลอยน้ำขนาดย่อม เมื่อถนนใช้การไม่ได้ สามารถนำเรือจากกองทัพเรือ หรือเรือข้าวมาวางสมอและยึดสมอบกตลอดแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วทำแพรอบเรือ ให้ชาวบ้านที่ประสบอุทกภัยมาอยู่ และให้เป็นศูนย์กลางที่จะส่งเรือไปช่วยเหลือชาวบ้าน เป็นทั้งศูนย์อพยพและเป็นที่สต็อกของอย่างเป็นระบบมากกว่าเดิม
แนวคิดดังกล่าวนี้ จะสร้างความมั่นใจให้ประชาชน หรือนักลงทุนได้หรือไม่ อย่างไร?
ในฐานะนักลงทุนคนหนึ่ง ผมว่าแนวคิดของผมเป็น "รูปธรรม" พิสูจน์ได้และสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะต่างชาติได้แน่นอน เพราะสามารถคำนวณการระบายน้ำ และการกักเก็บน้ำได้หมด แต่ถ้าทำเป็นคลองจะเจอปัญหามาก หากท่วมทั้ง 2 ฝั่งก็ควรต้องมีเครื่องมืออื่นมาช่วย
"ผมเห็นด้วยว่า คลองชัยนาท-ป่าสัก และคลองระพีพัฒน์ ก็ควรต้องขุดลอกทุกปี แต่เราควรต้องมีวิธีการสำรองแบบของผม คือ การกักเก็บน้ำ ชะลอน้ำและเบี่ยงน้ำไว้ด้วย หรือจะทำเป็นวิธีการหลักเลยก็ได้"
คิดอย่างไรกับแผนบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล
(นิ่งคิด...) ผมว่า แผนของรัฐบาล ทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว ยังไม่สามารถตอบคำถาม และสร้างความมั่นใจได้ โดยเฉพาะการจะจัดหาแก้มลิง 2 ล้านไร่ ผมว่าต้องมีปัญหาตามมา
แต่วิธีของผม....เชื่อว่าจะสามารถช่วยเหลือได้ครอบคลุมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด
แผนของรัฐบาลล้วนร่างขึ้นโดยผู้ที่รู้ทั้งนั้น ประเด็นสำคัญ คือ รัฐบาลจะตัดสินใจเอาวิธีไหน แต่ที่ผมห่วง คือ จะทำทันหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า เมื่อหน้าฝนมาถึงจะขุดลอกคลองไม่ได้ จะทำก็ต้องรีบทำตอนนี้
เดือนมีนาคมยังไม่เริ่ม ผมว่าลำบากแน่!
ระยะสั้นจะบรรเทาปัญหาเบื้องต้นได้อย่างไร
ในระยะสั้น
1.ขุดลอกบึงบอระเพ็ด และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
2.เจรจากับการทางรถไฟ สำรวจดูที่แนวการวางท่อ
3.ผลิตท่อ ที่ควรเป็นคอนกรีต แบบเดียวกับที่ใช้ทำอุโมงค์ยักษ์
4.วางแนวท่อ โดยอาจจะเริ่มต้นจากแก่งคอย ไปออกยังคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต ที่มีระยะทางกว่า 120 กิโลเมตร แล้วค่อยๆ เพิ่มเส้นทางไปเรื่อยๆ จนถึงแหลมฉบัง เพื่อเบี่ยงน้ำไปสู่ทะเลโดยเร็ว
"ผมเชื่อว่า วิธีการนี้แม้ในหน้าฝนก็ยังทำได้ และสะดวกตรงที่รัฐบาลไม่ต้องไปเวนคืนที่ สามารถสั่งการได้เพราะเป็นแนวทางรถไฟ"
ในฐานะอดีตรมว.เกษตร ผมว่าในเบื้องต้น เรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลจัดหาพื้นที่แก้มลิงผมก็เห็นด้วย แต่ยังไม่เพียงพอ หากแก้มลิงท่วมจะทำอย่างไร จะระบายน้ำจากแก้มลิง 2 ล้านไปไว้ที่ไหนและอย่างไร เพราะพื้นที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ที่ไม่มีคนอยู่
ที่สำคัญ การที่รัฐบาลบอกว่า ปีนี้ถึงน้ำจะท่วมมาก แต่จะไม่มากเท่าปีที่แล้วนั้นยัง "ไม่ใช่คำตอบ"
"ปีที่แล้วโรงงานผมท่วม 1.80 เมตร ปีนี้หากจะให้ท่วม 1 เมตรก็ยังท่วมนะ บอกอย่างนั้นมันไม่ได้ ต้องไม่ท่วมเลย ไม่อย่างนั้นแสดงว่า แผนที่คิดไม่ได้ช่วยอะไร และไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา ผมว่าการจะคิดทำอะไรต้องแก้ปัญหาให้เบ็ดเสร็จ ซึ่งวิธีที่ผมกล่าวมา คือ การตั้งโรงสูบใต้เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ออกไปทะเล จะเป็นวิธีที่เร็ว และสามารถทำได้โดยที่ดินฟ้าอากาศไม่เป็นอุปสรรคเหมือนกับการขุดลอกคลอง"
คิดอย่างไร ที่นิคมฯ ใน จ.อยุธยา กำลังสร้างกำแพงสูงป้องกันตัวเอง
การสร้างกำแพงกั้นน้ำสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม ก็สามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ผมว่า ทางที่ดีควรจะให้น้ำไหลเร็ว ไม่ขังอยู่นาน เพราะชาวบ้านโดยรอบจะได้รับผลกระทบ หรือหากจะกั้นก็ควรกั้นทั้ง 2 ข้าง
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าวิธีของผม คือ "คำตอบ" ที่จะไม่ต้องไปหาแก้มลิงจำนวนมาก หรือสร้างกำแพงสูง รวมถึงไม่ต้องวิตกว่า ปีนี้น้ำจะมามากหรือน้อยกว่าเดิม เพราะมีการระบายที่ควบคุมได้ 30 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน 1 เดือนก็เกือบ 1 พันล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อมีเวลาเตรียมตัว 3-5 เดือน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมไปถึงเดือนพฤศจิกายนในการทยอยระบายน้ำก็จะได้เกือบ 5 พันล้านลูกบาศก์เมตร
ผมคิดว่ารัฐบาลต้องมีทางเลือก มีแผนสำรองในการแก้ปัญหา เหมือนกับการรบ...
นี่รัฐบาลกำลังทำสงครามอยู่นะ ก็ดำเนินตามแผนที่วางเอาไว้ ซึ่งหากได้ผลก็ดี แต่หากไม่ได้ผลจะแก้ยังไง เพราะถ้าน้ำมาถึงอยุธยาก็จบนะ วิธีการเบี่ยงน้ำของผมหากเริ่มทำได้ตั้งแต่นครสวรรค์ไปจนถึงแหลมฉบังตามที่กล่าวมา จะเป็นหลักประกันที่แน่นอนว่า "น้ำไม่ท่วม"
"ที่จริงผมเห็นใจนายกรัฐมนตรีนะ เขาไม่ได้มีประสบการณ์ด้านท้องถิ่นและชนบท แต่อยู่ดีๆ ต้องมาเป็นนายกฯ อีกอย่างคนเราจะคิดว่าพอมีตำแหน่งแล้ว สติปัญญาจะมาพร้อมตำแหน่งมันไม่ได้ ผมบอกตรงๆ ว่า ทีมที่ปรึกษานายกฯ ยังอ่อน ที่นายกฯ มีปัญหา ถูกว่า ถูกล้อเลียนทุกวัน เพราะทีมนี้ทำไม่เป็น แต่ถ้าจะเรียกให้ผมไปช่วย เขาคงไม่เอาหรอก (หัวเราะ) เหมือนสมัยคุณทักษิณ ผมเคยเตือนก็ยังไม่ฟังเลย จนกระทั่งถูกปฏิวัติ"
ปีที่แล้วไม่ได้ใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยปี 2550
(ตอบทันที) ผมถามก่อนเลยว่า ผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่นายกรัฐมนตรีไปจนถึงรัฐมนตรีได้อ่านกฎหมายฉบับนี้หรือเปล่า (หัวเราะ)
บ้านเรามีกฎหมายหลายฉบับออกมา ตอนที่ผมเป็นรัฐมนตรีไม่ว่ากระทรวงไหน ก็จะบอกอธิบดีทุกกรมในกระทรวงเสมอว่าให้ไปอ่านกฎหมายที่ตั้งกรมของตนมาก่อน ว่า ให้อำนาจอะไรบ้าง แล้วปฏิบัติตามนั้น
"คนในอดีตเขามองออก จึงเขียนไว้หมดแล้ว เพียงแต่เราไม่อ่านและไม่นำมาปฏิบัติ ฉะนั้น ในเมื่อคณะกรรมการชุดต่างๆ และรัฐบาลเองก็ออกมาบอกว่า ยังไงปีนี้น้ำก็ต้องท่วม
ผมว่า รัฐบาลควรจะเริ่มเตรียมตัวและทำอะไรได้แล้ว"