เจาะลึก 11 กฎหมายดักฟังที่คนไทยควรต้องรู้
มีข้อสังเกตสำคัญที่น่านำมาพิจารณาอีกเรื่องหนึ่ง คือ บรรดากฎหมายที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐในการเข้าถึงเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารดังกล่าวมาข้างต้น ไม่มีกฎหมายฉบับใดเลยที่กำหนดโทษเฉพาะสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่นำข้อมูลข่าวสารไปใช้ประโยชน์อื่นที่นอกเหนือจากการสืบสวนหรือใช้เป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดี มีแต่เพียงโทษที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำความผิดฐานเปิดเผยข้อมูลหรือข่าวสารเท่านั้น จึงถือเป็นช่องว่างของกฎหมายในเรื่องนี้
กฎหมายที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐดักฟังและเข้าถึงข้อมูลและเอกสารที่ใช้บังคับอยู่รอบตัวคนไทยมีจำนวนหลายฉบับ หากนับรวมร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐในการดักฟังและเข้าถึงข้อมูลและเอกสารที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้เสนอตามที่ปรากฏเป็นข่าววิพากษ์วิจารณ์ในสื่อมวลชนต่าง ๆ ก็นับรวมแล้วได้ 11 ฉบับ จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนคนไทยควรต้องทราบว่ามีกฎหมายใดบ้างที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการในเรื่องนี้ เพื่อจะได้ไว้เป็นแนวทางในการปกป้องและคุ้มครองสิทธิของตน ซึ่งกฎหมายดังกล่าวได้แก่กฎหมายดังต่อไปนี้
1.พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 17 ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อว่า เอกสารหรือข้อมูลข่าวสารซึ่งส่งทางไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ในการสื่อสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อทางเทคโนโลยีใด ถูกใช้หรืออาจถูกใช้ เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พนักงานสอบสวนซึ่งได้รับอนุมัติจากอัยการสูงสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผู้ซึ่งได้รับมอบหมาย มีอำนาจยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเพื่อมีคำสั่งอนุญาตให้ได้มาซึ่งเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารดังกล่าวได้
2.พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 30 ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารอื่นใดซึ่งส่งทางไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการสื่อสารสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อสารสนเทศอื่นใด ถูกใช้หรืออาจถูกใช้เพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับอนุมัติเป็นหนังสือจาก ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วแต่กรณี จะยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลอาญาหรือศาลจังหวัดที่มีเขตอำนาจเพื่อมีคำสั่งอนุญาตให้พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาซึ่งเอกสาร หรือข้อมูลข่าวสารดังกล่าวก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับประธานศาลฎีกา
3.พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 25 ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า เอกสารหรือข้อมูลข่าวสารอื่นใดซึ่งส่งทางไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ในการสื่อสารสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อทางเทคโนโลยีสารสนเทศใด ถูกใช้หรืออาจถูกใช้ เพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษซึ่งได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นหนังสือมีอำนาจยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเพื่อมีคำสั่งอนุญาตให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสารดังกล่าวได้
4.พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2519 มาตรา 14 จัตวา ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า เอกสารหรือข้อมูลข่าวสารอื่นใดซึ่งส่งทางไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ในการสื่อสารสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อทางเทคโนโลยีสารสนเทศใด ถูกใช้หรืออาจถูกใช้เพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เจ้าพนักงานซึ่งได้รับอนุมัติจากเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นหนังสือ จะยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเพื่อมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าพนักงานได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสารดังกล่าวได้
5.พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 46 ในกรณีที่มีพยานหลักฐานตามสมควรว่าบัญชีลูกค้าของสถาบันการเงิน เครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการสื่อสาร หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ใด ถูกใช้หรือ อาจถูกใช้เพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน พนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเลขาธิการคณะกรมการป้องกันแลปราบปรามการฟอกเงินมอบหมายเป็นหนังสือ จะยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลแพ่ง เพื่อมีคำสั่งอนุญาตให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าถึงบัญชี ข้อมูลทางการสื่อสาร หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลดังกล่าวนั้นก็ได้
6.พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 18 เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ หรือในกรณีที่มีการร้องขอจากพนักงานสอบสวน พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจในการเรียกข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์จากผู้ให้บริการ สั่งให้ผู้ให้บริการส่งมอบข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้บริการ สั่งให้บุคคลใดส่งมอบข้อมูลคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ ตรวจสอบระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ยึดหรืออายัดระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อประโยชน์ในการใช้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิดและหาตัวผู้กระทำความผิด
7.พระราชบัญญัติข่าวกรองแห่งชาติ พ.ศ. 2528 ให้อำนาจสำนักข่าวกรองแห่งชาติในการดักฟังการติดต่อสื่อสารทางสัญญาณวิทยุ เพื่อให้ได้มาซึ่งข่าวสารอันอาจมีผลกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของชาติ
8.พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 11 (5) เมื่อนายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีได้ประกาศให้สถานการณ์ฉุกเฉินเป็นสถานการณ์ ที่มีความร้ายแรงแล้ว นายกรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งตรวจสอบจดหมาย หนังสือ สิ่งพิมพ์ โทรเลข โทรศัพท์ หรือการสื่อสารด้วยวิธีการอื่นใด ตลอดจนการสั่งระงับหรือยับยั้งการติดต่อ หรือการสื่อสารใด เพื่อป้องกันหรือระงับเหตุการณ์ร้ายแรง โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษโดยอนุโลม
9.พระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ. 2477 มาตรา 25 ให้อำนาจเจ้าหน้าที่เปิดตรวจไปรษณียภัณฑ์ที่ส่งทางไปรษณีย์อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ. 2477
10.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 105 ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ขอคำสั่งจากศาลเพื่อให้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ส่งจดหมาย ไปรษณียบัตร สิ่งพิมพ์หรือเอกสารอื่นซึ่งส่งทางไปรษณีย์ จากผู้ต้องหาหรือจำเลย หรือที่ส่งถึงผู้ต้องหาหรือจำเลย แต่ยังมิได้มีการส่ง เพื่อประโยชน์ในการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้อง การพิจารณาหรือการกระทำอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
11.ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ. ....(การเข้าถึงและได้มาซึ่งเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด) คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการของร่างกฎหมายฉบับนี้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้เสนอเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2559 จากนั้นได้ส่งร่างกฎหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาเสร็จแล้วเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2560 และได้ส่งร่างกฎหมายให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป เดิมทีร่างกฎหมายฉบับนี้อยู่ในชั้นความลับมาก แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 77 บัญญัติให้ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องก่อนการตรากฎหมาย คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2560 ให้ยกเลิกชั้นความลับของกฎหมายฉบับนี้ สำหรับร่างกฎหมายฉบับนี้มีสาระสำคัญดังนี้
(1) ร่างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 105/1 กำหนดให้พนักงานฝ่ายปกครองผู้มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนซึ่งได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดหรืออธิบดีกรมการปกครอง หรือตำรวจผู้มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนซึ่งได้รับอนุมัติจากผู้บังคับการตำรวจขึ้นไป อาจยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาหรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดที่มีเขตอำนาจ เพื่อมีคำสั่งอนุญาตในการเข้าถึงและได้มาซึ่งเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารอื่นใดซึ่งส่งทางไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการสื่อสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อทางเทคโนโลยีสารสนเทศใด ที่ถูกใช้หรืออาจถูกใช้เพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิดที่เป็นคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือคดีความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา คดีความผิดที่เป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรม หรือคดีความผิดที่มีความซับซ้อนซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป โดยให้สามารถดำเนินการคราวละไม่เกิน 90 วัน และให้ผู้ได้รับอนุญาตรายงานผลการดำเนินการให้อธิบดี ผู้พิพากษาศาลอาญาหรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดทราบทุก 30 วัน
(2) ร่างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 105/2 กำหนดความผิดสำหรับผู้กระทำด้วยประการใด ๆ ให้ผู้อื่นรู้หรืออาจรู้เอกสารหรือข้อมูลข่าวสารที่ได้มาตามมาตรา 105/1 โดยกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และให้เพิ่มโทษ 3 เท่า สำหรับกรณีที่ผู้กระทำเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 105/1 วรรค 1
เนื้อหาของร่างกฎหมายฉบับนี้มีลักษณะทำนองเดียวกันกับกฎหมายอื่น ๆ 4 ฉบับ ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ดักฟัง และได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสาร คือ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 17 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 30 พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 25 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2519 มาตรา 14 จัตวา ดังกล่าวข้างต้น ในเรื่องของกระบวนการตรวจสอบเพื่ออนุญาตและหลักเกณฑ์การอนุญาต ที่จะต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคลหรือสิทธิอื่นใด ประกอบกับเหตุผลและความจำเป็นว่า ต้องมีเหตุอันควรเชื่อว่ามีการกระทำความผิดหรือจะมีการกระทำความผิด มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะได้เอกสารหรือข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการกระทำความผิดจากการขออนุญาตเข้าถึงเอกสารและข้อมูลข่าวสาร และไม่อาจใช้วิธีการอื่นใด ที่เหมาะสมหรือมีประสิทธิภาพมากกว่าได้ โดยการอนุญาตล้วนกำหนดเหมือนกันคือให้อนุญาตได้คราวละ ไม่เกิน 90 วัน
ร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาฉบับนี้ได้กำหนดให้การรายงานผลการดำเนินการจะต้องกระทำทุก ๆ 30 วัน ซึ่งเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมจากกฎหมายทั้ง 4 ฉบับข้างต้น ซึ่งกำหนดแต่เพียงให้ผู้ได้รับอนุญาตรายงานผลการดำเนินการให้ทราบเท่านั้น แต่ไม่ได้ระบุระยะเวลาเอาไว้ว่าต้องรายงานภายในกำหนดเวลาใด และกำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมในเรื่องคำขออนุญาตเข้าถึงและได้มาซึ่งเอกสารหรือข้อมูลข่าวสาร ให้ต้องระบุเหตุผลและความจำเป็นและรายละเอียดตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในคำขอด้วย ซึ่งในกฎหมายอื่นอีก 4 ฉบับ ดังกล่าวไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์เรื่องนี้ไว้ ซึ่งถือว่าเป็นผลดีต่อการคุ้มครองสิทธิของบุคคลมากขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้ มีประเด็นความลักลั่นซึ่งเป็นความแตกต่างของกฎหมายทั้ง 5 ฉบับนี้ที่น่าสนใจในเรื่องของการทำลายเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารที่ไม่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงเอกสารหรือข้อมูลข่าวสาร โดยบางกฎหมาย ได้แก่ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2519 ไม่ได้มีบทบัญญัติบังคับให้ต้องทำลายเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารไม่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ขณะที่พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และร่างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 105/1 วรรค 7 มีบทบัญญัติบังคับให้ต้องทำลายเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารที่ไม่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่ได้รับอนุญาตได้ แต่ในร่างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 105/1 วรรค 7 กำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมไปจากกฎหมายอีก 2 ฉบับ ว่า เมื่อได้ทำลายเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารแล้วให้รายงานให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาหรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดทราบด้วย ซึ่งทำให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นข้อดีในการเพิ่มการตรวจสอบถ่วงดุลโดยอำนาจตุลาการ
ในเรื่องการทำลายเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารที่ไม่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่ได้รับอนุญาตนี้ มีความสำคัญและจำเป็นมาก เพราะข้อมูลและเอกสารที่ได้มาซึ่งไม่เกี่ยวกับการกระทำความผิด เช่น ข้อมูลที่ได้จากการดักฟังโทรศัพท์และเอกสารที่ได้มาอาจไปกระทบสิทธิส่วนบุคคลของผู้เกี่ยวข้องได้ ตัวอย่างเช่น ข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางชู้สาวในครอบครัว ข้อมูลด้านการเงิน ความลับทางการค้า หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่อาจสร้างความเสียหายแก่ผู้เกี่ยวข้องได้ และประการสำคัญคือ ข้อมูลซึ่งมีที่มาจากการส่งผ่านทางคอมพิวเตอร์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อทางเทคโนโลยีสารสนเทศต่าง ๆ สามารถเกิดขึ้นและทำสำเนาส่งต่อกันได้ง่าย หากข้อมูลและเอกสารเหล่านี้ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวนและใช้เป็นพยานหลักฐานในคดี ย่อมต้องมีความสุ่มเสี่ยงที่ข้อมูลและเอกสารจะรั่วไหลไปยังบุคคลภายนอกและสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ การมีกฎหมายบังคับให้ต้องทำลายข้อมูลและเอกสารที่ได้มาซึ่งไม่เกี่ยวกับการกระทำความผิดจึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ร่างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 105/1 นี้ ที่กำหนดให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจผู้มีหน้าที่สืบสวนสอบสวน สามารถเข้าถึงเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในร่างมาตรา 105/1 อาจซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่อื่นที่มีอำนาจเช่นกันในการเข้าถึงเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารตามกฎหมายเฉพาะดังกล่าวข้างต้นถึงแม้ว่าร่างมาตรา 105/1 วรรค 8 จะบัญญัติให้กรณีที่มีกฎหมายกำหนดกระบวนการในการเข้าถึงและได้มาซึ่งเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารเป็นการเฉพาะแล้ว ให้เจ้าพนักงานตามกฎหมายดังกล่าวดำเนินการตามที่กฎหมายนั้นบัญญัติไว้ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นก็ตาม
นอกจากนี้ ตามที่ร่างมาตรา 105/1 กำหนดให้คดีความผิดที่มีความซับซ้อนซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สามารถยื่นคำขอเพื่อเข้าถึงเอกสารและข้อมูลข่าวสารได้ นั้น มีข้อสังเกตว่าเป็นการกำหนดประเภทความผิดไว้อย่างกว้าง ๆ โดยไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนแน่นอนว่าอย่างไรเป็นความผิดที่มีความซับซ้อน ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาในการตีความได้ว่าอย่างไรถึงจะเป็นความผิดที่มีความซับซ้อน และอาจก่อให้เกิดปัญหาการใช้อำนาจโดยไม่ชอบของเจ้าหน้าที่รัฐได้อีกด้วย
อนึ่ง มีข้อสังเกตที่สำคัญและน่านำมาพิจารณาเป็นอย่างยิ่งในเรื่องของอัตราโทษสำหรับความผิดฐานเปิดเผยข้อมูลหรือเอกสารที่ได้มาให้ผู้อื่นล่วงรู้ในกฎหมายทั้ง 5 ฉบับ ข้างต้น เมื่อนำมาพิจารณาประกอบกับกฎหมายอีก 2 ฉบับ ซึ่งให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐในการเข้าถึงเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการกระทำความผิดตามที่กฎหมายกำหนดไว้เช่นกัน คือ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เนื่องจากอัตราโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดฐานรู้หรือได้มาซึ่งเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารแล้วเปิดเผยข้อมูลหรือเอกสาร ที่ได้มาให้ผู้อื่นล่วงรู้ในกฎหมายทั้ง 7 ฉบับนี้ มีอัตราโทษที่แตกต่างกัน บ้างก็กำหนดให้มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งได้แก่ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาฉบับนี้ บ้างก็กำหนดอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท ได้แก่ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2519 บ้างก็กำหนดอัตราโทษให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี ถึง 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 6 หมื่นบาทถึง 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ได้แก่ พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 จึงถือเป็นปัญหาสำคัญในเรื่องความลักลั่นในการกำหนดอัตราโทษที่แตกต่างกันทั้งที่เป็นการกระทำความผิดอย่างเดียวกัน
นอกจากนี้ ในบรรดากฎหมายทั้ง 7 ฉบับ ข้างต้น บางฉบับก็กำหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำผิดฐานเปิดเผยข้อมูลหรือเอกสารที่ได้มาให้ผู้อื่นล่วงรู้ต้องรับโทษหนักขึ้นกว่าโทษปกติ โดยต้องระวางโทษเป็น 3 เท่าของอัตราโทษที่กำหนดไว้ แต่บางฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ไม่ได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องรับโทษหนักขึ้นแต่อย่างใด หากเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิดฐานนี้ก็รับโทษในอัตราโทษปกติเช่นคนทั่วไปกระทำผิด จึงถือเป็นปัญหาความลักลั่นในเรื่องอัตราโทษฐานเปิดเผยข้อมูลหรือเอกสารที่ได้มาให้ผู้อื่นล่วงรู้อีกประการหนึ่งด้วย
มีข้อสังเกตสำคัญที่น่านำมาพิจารณาอีกเรื่องหนึ่ง คือ บรรดากฎหมายที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐในการเข้าถึงเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารดังกล่าวมาข้างต้น ไม่มีกฎหมายฉบับใดเลยที่กำหนดโทษเฉพาะสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่นำข้อมูลข่าวสารไปใช้ประโยชน์อื่นที่นอกเหนือจากการสืบสวนหรือใช้เป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดี มีแต่เพียงโทษที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำความผิดฐานเปิดเผยข้อมูลหรือข่าวสารเท่านั้น จึงถือเป็นช่องว่างของกฎหมายในเรื่องนี้
ร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาฉบับนี้จำเป็นต้องมีการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 77 ในการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องเสียก่อนที่จะมีการตรากฎหมาย ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติผู้เสนอร่างกฎหมายที่จะต้องดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นก่อนที่จะมีการพิจารณาร่างกฎหมายโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องดำเนินการตามแนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันจัดทำขึ้นและคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2560 ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานของรัฐจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการจัดทำร่างกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ โดยในการรับฟังความคิดเห็นอย่างน้อยต้องรับฟังผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของหน่วยงานรัฐนั้น หรือผ่านเว็บไซต์ www.lawamendment.go.th หรือจะใช้วิธีอื่นใดด้วยก็ได้ โดยระยะเวลาในการรับฟังความคิดเห็นต้องไม่น้อยกว่า 15 วัน รวมทั้งต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และแนวทางการรับฟังความคิดเห็นประกอบการจัดทำร่างกฎหมายอื่น ๆ ที่ได้กำหนดไว้ด้วย
จากนี้ไปคงต้องรอดูว่า หลังจากผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นแล้ว จะมีการนำเอาผลการรับฟังความคิดเห็นที่ได้รับ มาประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาฉบับนี้อย่างไร
ภาพประกอบ:http://www.secnia.go.th