ชะตากรรม ธนาคารอิสลาม หาผู้ร่วมทุนใหม่หรือควบรวมแบงก์รัฐ
ปี 2560 เพียงในไตรมาสแรก พบว่า มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือหนี้เสียเพิ่มขึ้น 57,300 ล้านบาท คิดเป็น 61.54% ของสินเชื่อ 93,200 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4,000 ล้านบาท ในเวลาชั่วพริบตาเดียวนับจากสิ้นปี 2559 การที่ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยมีหนี้เสียเกือบ 60,000 ล้านบาท แน่นอนว่า ส่วนหนึ่ง เกิดจากการบริหารงานผิดพลาด
เป็นที่ทราบกันดีว่า ธนาคารอิสลาม ประสบปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ Non Performing Financing (NPF) สูงมาก อีกทั้งขาดสภาพคล่องในการดำเนินงาน และการบริหารจัดการภายในองค์กรตั้งแต่ปี พ.ศ.2555
ภาครัฐเองพยายามเข้าช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยทิศทางเริ่มมีความชัดเจนขึ้นเมื่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมีมติ เห็นชอบให้ธนาคารอิสลามดำเนินการแยกหนี้ดี (Good Bank) และหนี้เสีย (Bad Bank) ออกจากกัน
โดยในส่วนของ Bad Bank นั้น ก็วางแผนให้มีการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ขึ้น โดยกระทรวงการคลัง จะดำเนินการจัดจ้างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาบริหาร ขณะที่ส่วนของ Good Bank จะดำเนินการหาพันธมิตรเข้าร่วมทุนต่อไป
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 27กันยายน 2559 อนุมัติให้กระทรวงการคลังจัดตั้ง AMC “บริษัทบริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด” หรือ Islamic Bank Asset Management Company Limited (IAM) เพื่อทำหน้าที่แก้ไขปัญหาธนาคารอิสลามโดยการรับโอน NPF ในส่วนลูกค้าที่ไม่ใช่มุสลิม ตลอดจนหลักประกันของสินทรัพย์ จากธนาคารอิสลาม นำไปบริหาร จัดการ หรือจำหน่าย และดำเนินคดีให้เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายทั้งหมด
คาดว่า จะมีการลงนามโอน NFL จาก ธนาคารอิสลาม ไปให้แก่ทาง IAM ภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม 2560 นี้ หรือโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ การดำเนินการดังกล่าว เป็นหลักประกันหรือไม่ว่า การแก้ไขปัญหาของธนาคารอิสลามเดินมาถูกทางแล้ว โดยเฉพาะในส่วนของ Good Bank ที่กำหนดให้ดำเนินการหาพันธมิตรเข้าร่วมทุนต่อไปนั้น ตอนนี้ก็ไม่ชัดเจนว่าใครจะมาเป็นพันธมิตร และทำอย่างไรที่จะไม่เกิดปัญหาหนี้เสียแบบเดิม ๆ เพิ่มขึ้นอีก ซึ่งก็จะย้อนกลับมาเป็นภาระของรัฐบาลในอนาคตด้วย
เพราะหากพิจารณาข้อมูล ณ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2559 ธนาคารอิสลามมีสินทรัพย์ประมาณ 90,000 ล้านบาท และมีหนี้สิ้นในจำนวนเท่าๆกัน ในจำนวนนี้ เป็นหนี้ดี 50,000 ล้านบาท หนี้เสีย 43,400 ล้านบาท
แต่พอเข้าปี 2560 เพียงในไตรมาสแรก พบว่า มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือหนี้เสียเพิ่มขึ้น 57,300 ล้านบาท คิดเป็น 61.54% ของสินเชื่อ 93,200 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4,000 ล้านบาท ในเวลาชั่วพริบตาเดียวนับจากสิ้นปี 2559
การที่ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยมีหนี้เสียเกือบ 60,000 ล้านบาท แน่นอนว่า ส่วนหนึ่ง เกิดจากการบริหารงานผิดพลาด
แต่ส่วนหนึ่งเกิดจากการทุจริตในการปล่อยสินเชื่อซึ่งเป็นปัญหาที่รู้กันอย่างดีในกระทรวงการคลัง แต่ที่ผ่านมากลับไม่มีการดำเนินการใดๆในทางกฎหมายกับอดีตผู้บริหารของธนาคาร ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลต้องเร่งชำระสะสางไปพร้อมๆกับการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามฯ ในการเข้าบริหารหนี้เสียเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า การดำเนินการจะเป็นไปด้วยความโปร่งใส
สำหรับประเด็นสำคัญ ในส่วนของ Good Bank (ที่เดิมกำหนดให้ดำเนินการหาพันธมิตรเข้าร่วมทุนนั้น) หากรัฐจะกล้าตัดสินใจนำส่วนนี้ รวมถึงลูกค้าอิสลาม ไปให้ธนาคารของรัฐอื่น ๆ ที่มีการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส เป็นที่ยอมรับ อาทิ ธนาคารออมสิน หรือธนาคารกรุงไทย ดูแลบริหาร พร้อมให้ธนาคารอิสลามยุติบทบาทลง โดยปิดตัวไป ก็น่าจะเป็นทางเลือกอีกทาง ที่ถือว่าน่าสนใจ จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติในระยะยาว ดีกว่าจะเดินหน้าต่อไป แต่อาจต้องย้อนมาแก้ปัญหาหนี้เสียรายใหม่ ๆ อีกไม่รู้จบ