ผศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช มอง "ภัยพิบัติกับการเมืองที่เป็นของคู่กัน"
"ภัยพิบัติกับการเมืองที่เป็นของคู่กัน
ฉะนั้นบทบาทของนักการเมืองในภัยพิบัติ
ไม่ใช่ไปสั่งการหรือการแก้การสั่งการใดๆทั้งสิ้น"
โดยปกติเวลาเราพูดถึงการจัดการภัยพิบัติ ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจกับศาสตร์ "การจัดการภัยพิบัติ" เท่าใดนัก ทั้งๆ ที่ศาสตร์แขนงนี้มีตัวตนเป็นเรื่องเป็นราว บางประเทศถึงกับมีอาชีพนักจัดการภัยพิบัติเลยทีเดียว
“ศูนย์ข้อมูลข่าวสารนโยบายสาธารณะ” มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านภัยพิบัติ เธอ ได้ฉายาเล่นๆ ว่า "เจ้าแม่ภัยพิบัติ" ผศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช อาจารย์ประจำสาขาบริหารรัฐกิจและนโยบายสาธารณะ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ซึ่งเมื่อครั้งขึ้นเวทีงานสัมมนาประจำปีคณะรัฐศาสตร์ มธ. ผศ.ดร.ทวิดา นำเสนอบทความ "น้ำท่วม ตอผุด" ถอดรหัสการจัดการอุทกภัย โดยได้ฟันธงเอาไว้ว่า "ภัยพิบัติเป็นการเมือง"
พร้อมอธิบายเหตุผล ...เพราะเมื่อภัยพิบัติเกิดขึ้น โครงสร้างของประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะออกแบบมาให้สละสิ้นสภาพขอบเขตทางรัฐศาสตร์ลง ได้แก่ พื้นที่ อำนาจ หน้าที่ แล้วไปใช้ขอบเขตการขยายผลของภัยแทน
สถานการณ์จริง ภัยพิบัติจะไม่มีขอบเขตของรัฐศาสตร์อยู่ในนั้น
@ที่อาจารย์บอกว่า ภัยพิบัติเป็นภาวะที่ซับซ้อนนั้น ซับซ้อนอย่างไร
จะไม่ซับซ้อนได้ไง แค่น้ำมันมาเนี๊ย คนถูกกระทบกี่หมู่กี่เหล่า ภัยพิบัติมีความซับซ้อนสูงในระบบสังคม ทั้งยังมีความซับซ้อนในแง่ของพื้นที่ และกิจกรรมที่เราทำอยู่ในแต่ละพื้นที่
@จะจัดการเรื่องภัยพิบัติเราต้องให้ความใส่ใจกับอะไรบ้าง
ลำดับแรก ความยืดหยุ่นขององค์การ (Organizational Flexibility) ซึ่งไม่ใช่หน่วยงานภาครัฐเท่านั้น แต่คือชุมชน องคาพยพของสังคมที่สามารถมาจัดการกับเรื่องแบบนี้ ได้
การเลือกทางเลือกในการจัดการภัยพิบัติ แบบไม่ใช่โครงสร้าง (Technical Infrastructure) ก็คือ ไม่ได้พูดเรื่องเขื่อน ไม่ได้พูดเรื่องแก้มลิงรองรับน้ำ ไม่ได้พูดถึงเครื่องสูบน้ำ ไม่ได้พูดถึงดร.เรดาร์ ไม่ได้พูดถึงเครื่องวัดแผ่นดินไหว
ถามว่า ตรงนี้คืออะไร
ก็คือการที่เรามีกฎหมาย แล้วเราบังคับใช้ การที่เรามีการวิเคราะห์ความเสี่ยง สำรวจตึก ตรวจสภาพความแข็งแรงของตึก ความสูงต่ำของพื้นที่ ท่อระบายน้ำ กำหนดจะระบายตรงไหนไปตรงไหน
นี่คือโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิกของการคำนวณความเสี่ยง ที่มีอยู่ในการจัดการภัยพิบัติ ฉะนั้น รูปแบบของการไม่เป็นโครงสร้างนั้นมีโครงสร้างอยู่ข้างในด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ ไม่มี
@อาจารย์ให้คะแนนรัฐบาลเท่าไหร่ในเรื่องการจัดการภัยพิบัติคร้้งที่ผ่านมา
ให้ 5-6 จากคะแนนเต็ม 10 ถามว่า ใจดีไปไหมให้ขนาดนั้น
(ลากเสียงยาว) ให้เป็นกำลังใจ อย่างน้อยก็ดึงน้ำกลับทัน เออ...ในเมืองยังใส่ส้นสูงได้อยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงให้คะแนนความพยายามรู้ว่า มีความพยายามดิ้นรนกระเสือกกระสน
@มองระบบการจัดการภัยพิบัติในประเทศไทย ปรับตัวได้มากน้อยขนาดไหน
เงื่อนไขของประเทศไทย มหัศจรรย์ ของนะมีนะ หากวัดระดับจากความมี ได้ระดับ 3 ระบบปฏิบัติการสามารถที่จะปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะเป็นการ ลองผิดลองถูกก็ตาม
แต่เมื่อของนะ มี ไม่ได้ใช้ ในฐานะนักวิชาการ จึงไม่สามารถนับได้ว่า การจัดการภัยพิบัติอุทกภัยครั้งที่ผ่านมาของภาครัฐ เป็นระบบระดับ 3 (Operative adaptive System)
ครั้งนี้ ดิฉันให้ระดับ 2 หมายความว่า เป็นระบบที่เริ่มจะมีการปรับตัวเท่านั้นเอง คือยังมีความบกพร่องมากมายเกิดขึ้น ปรับตัวทันในช่วงหลังนิดหนึ่ง
@ปัญหาการจัดการภัยพิบัติที่ผ่านมาคิดว่า คืออะไร
ในระดับแรกเลยคือ การวิเคราะห์และการประเมินความเสี่ยงของไทยยังไม่มีประสิทธิภาพพอ
ปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้น เกิดจากการที่เราไม่สามารถที่จะประเมินความเสี่ยงอันเกิดจากน้ำในหลายภาวะ ได้ เพราะฉะนั้นการมองว่าเราไม่มีการบูรณาการข้อมูลเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ว่า มันเกิดปัญหาขึ้นในการบูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวกับน้ำ ขณะที่คณะกรรมการแต่ละลุ่มน้ำ ก็ใส่ใจอยู่กับปัญหาความแล้งที่เป็นปัญหามายาวนาน
ประเทศเราน้ำท่วมทุกปี แต่ครั้งนี้เมื่อน้ำมาถึงกรุงเทพมหานครทำให้เกิดการช็อค
และเมื่อช็อคแล้วเห็นว่า ปัญหา คือ การไม่มีการบูรณาการ ฉะนั้นต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ ซึ่งถ้าจะให้หน่วยงานหลักจัดการบูรณาการ ก็คงไม่เป็นหลักเป็นฐานเท่าที่ควร จึงเกิดแนวความคิด Single command ขึ้นมา ให้มีหน่วยงานบริหารจัดการน้ำกลางไปเลย
@อย่างนี้ก็แสดงว่า รัฐบาลเดินมาถูกทางแล้ว?
ถือว่าเป็นแนวคิดที่ดี คือ ในเมื่ออยากใส่ใจในเรื่องนี้จริง และเป็นวาระจริงนั้นไม่เป็นปัญหาถ้าจะตั้งหน่วยงานขึ้นมา
แต่...คำถามที่ตามมาคือ จะเป็นหน่วยงานถาวรหรือไม่ ? จะเอาบุคลากรมาจากที่ไหน จะคัดผู้ที่มีความสามารถหัวกะทิจากหน่วยงานหลักๆ ที่ทำเรื่องนี้อยู่หรือเปล่า แล้วจะทำอะไรต่อจากการบริหารจัดการในลักษณะนั้น และถ้าหน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานถาวร องคาพยพของหน่วยงานนี้จะอยู่ในหน่วยงานใด เพราะปัจจุบันมีหน่วยงานหลักที่ทำงานอยู่แล้ว
ฉะนั้น ต้องจัดสรรว่า หน่วยงานนี้จะทำงานในลักษณะใดจะทำงานบางส่วนที่หน่วยงานหลักทำอยู่แล้ว หรือทำงานร่วมกัน
ถ้าทำบางส่วนคือ ทำเฉพาะกิจในเรื่องของการรวมน้ำแล้ววิเคราะห์ในความเสี่ยงที่จะเป็นอุทกภัย เท่านั้นหรือเปล่า ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นระหว่างปีทำอะไร ทำวิจัย ลงพื้นที่ ประเมินความเสี่ยงระดับพื้นที่หรือไม่
แล้วถามว่า ทีนี้หน่วยงานหลักทำอะไร?
คำถามอีกข้อ คือ จะซ้ำซ้อนหรือไม่ และจะเหยียบเท้ากันอีกหรือเปล่า
@ถ้ามองว่าเป็นการทำงานซ้ำซ้อนก็ไม่ควรที่จะมีเช่นนั้นหรือ
ไม่ใช่ว่ามีไม่ได้ แต่ต้องวางโครงสร้างให้ดี ไม่เช่นนั้นจะเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรและจะเป็นการทำงานซ้ำกัน
"เราไม่ควรสร้างหน่วยงานใหม่ๆ เพิ่มคนไปเรื่อยๆ ในระบบราชการ เพราะท้ายที่สุดแล้วก็จะใหญ่โต ควรต้องวางเอกภาพของเราให้ดี เนื่องจากครั้งนี้เรารู้ว่า เอกภาพของเรามีปัญหา ฉะนั้นการวางโครงสร้างลงไปใหม่ต้องคิดให้ดี คิดให้ถี่ถ้วน คิดให้ละเอียด"
อีกอย่างหนึ่งคือสถานะความเป็นหน่วยงานอิสระ หรือหน่วยงานมหาชนภายใต้ท่านนายกฯ ต้องมั่นใจว่าสามารถขอความร่วมมือหน่วยงานราชการหลักได้เป็นอย่างดี เพราะทุกครั้งที่อยู่ในสถานะแปลกๆ การขอข้อมูลจะเป็นไปได้ยาก ยกเว้นทำของตนเองตั้งแต่ต้นจนจบ
คำถามคือ ต้องดูกว่าข้อมูลจะเหมือนกับหน่วยงานหลักหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องดีที่มีความคิดนี้ขึ้นมา มีคนมาเจาะจงในเรื่องนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะเราขาดจริงๆ แต่พอรู้ว่า ต้องมีไม่ควรที่จะทำเอาเร็ว ต้องดูว่าจะทำอะไร ต้องทำให้ละเอียด ไม่เช่นนั้นจะเกิดเป็นปัญหาคลาสสิกที่เกิดในระบบราชการไทย
คือ...(นิ่งคิด) การตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ จนทำให้มีบางส่วนที่ก่ายขากันอยู่ เพราะเราไม่ละเอียดตั้งแต่ตอนตั้ง
@แต่ว่าตอนนี้ถ้าต้องดูอย่างละเอียดคงไม่ทันการเพราะ น้ำกำลังจะมา
ถ้ารีบทำก็ใช้อำนาจเลย (ตอบอย่างรวดเร็ว) ...คณะกรรมการยุทธศาสตร์วางระบบการบริหารจัดการทรัพยากร หรือ กยน.ที่รัฐบาลตั้งขึ้นก็ทำอย่างนั้นอยู่ ขณะนี้ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำทั่วราชอาณาจักรอยู่ในคณะกรรมการชุด กยน.
ฉะนั้น เรื่องความชำนาญไม่ต้องห่วง
กยน.ถูกแต่งตั้งโดยท่านนายกฯ สามารถใช้อำนาจสูงสุดได้เลย นอกจากนี้ ยังมีอำนาจในการกำหนดนโยบาย และการบริหารจัดการน้ำทั้งหมดตอนนี้ พูดง่ายๆ เลขาฯ ของคณะกรรมการนี้กำลังทำหน้าที่เป็น Single command อยู่ มีหน้าที่รวบรวมข้อมูลพวกนี้ให้คนเหล่านี้วิเคราะห์ ตอนนี้ก็ทำอย่างนี้ไปก่อน แต่ในกรณีที่อยากให้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ต้องคิดให้ละเอียด
@ในฐานะนักภัยพิบัติ มองว่าปีนี้จะแล้งหรือจะท่วมซ้ำ
ต้องบอกก่อนว่า การเป็นนักบริหารจัดการภัยพิบัติคำตอบแรกที่มองหา คือคำตอบจากนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญก่อน ไม่เช่นนั้นจะวางแผนต่อเนื่องไม่ได้
เรามีหน้าที่ไปถามว่า สถานการณ์มีอะไรบ้าง เลวร้ายที่สุด ดีที่สุด หรือสถานการณ์กลางๆ เป็นอย่างไร ก็จะวางแผนดักไว้ก่อนเลย เพื่อจะลดเวลาในการคิดแผนถ้าอะไรเกิดขึ้น
เช่น สมมุติถ้าใช้แผน 1 ไปแล้วจนถึงกลางแผนกลับไม่ได้ผล เราก็สามารถที่จะเดินไปแผน 2 ได้ง่าย ไม่ต้องไปวิ่งไล่จับเหมือนที่ผ่านมา
ฉะนั้น ถ้าถามว่าจะแล้งหรือท่วม (นิ่งคิด)
... เท่าที่ฟังข่าวมาท่านนักวิทยาศาสตร์หลายท่านกล่าวว่า ปีนี้น้ำจะมากกว่าเดิม ฝนจะเยอะกว่าเดิม แต่สิ่งเหล่านี้เป็นการพยากรณ์ล่วงหน้า ซึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่า ฝนเยอะที่ว่านั้นจะตกตรงไหน?
ถ้าตกเหนือเขื่อนที่พร่องน้ำไปแล้วก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าตกเยอะเหนือเขื่อนแล้วกำลังจะพร่องน้ำ ท้ายเขื่อนฝนตกอีกก็มีปัญหา ของแบบนี้ต้องทำไว้ให้หมดทุกแผน
อย่าไปตอบคำถามว่า ปีนี้ท่วมหรือแล้ง กยน. คิดมาเลยทั้งแล้งทั้งท่วม ถ้าปีนี้แล้งก็ใช้แผนแล้ง หรือถ้าท่วมก็ใช้แผนท่วม หรือถ้าทั้งแล้งทั้งท่วมผสมกันก็เอาแผนทั้งหมดมากางแล้วดูว่า ผ่อนตรงไหนขึ้น หนักตรงไหนลง
ในท้ายที่สุดเราต้องยอมรับว่าโดยโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการ บางทีอาจต้องยอมรับผลที่เกิดขึ้นกับอีกภัยหนึ่งมากกว่าอีกภัยหนึ่ง
เช่น ถ้าคิดว่าแล้งจัดการได้ง่ายกว่าน้ำท่วม บางทีน้ำหนักในการวางแผนอาจต้องเน้นที่เรื่องการจัดการน้ำท่วมมากกว่าแล้ง ซึ่งแปลว่าแล้งต้องเกิดขึ้น แต่ถ้าเราบริหารจัดการน้ำดี แล้งก็คงเกิดนิดหน่อย เราก็คงพอที่จะขนน้ำ ผันน้ำพิเศษเข้าไปให้ได้ เพื่อที่จะจัดการกับท่วมให้ลดความรุนแรงลง
@แนะนำวิธีการจัดการ กับพื้นที่ที่ทั้งถูกน้ำท่วมและเจอภัยแล้ง ต้องทำอย่างไร?
คนวางแผนต้องคิดให้ละเอียด... ถึงขนาดที่ว่าพื้นที่หนึ่งๆ และต่างพื้นที่ด้วย ต้องดูเป็นพื้นที่ใครพื้นที่มัน เพราะพื้นที่หนึ่งๆอาจเจอภัยแล้งในระดับความเสี่ยงที่หนักหนาสาหัสกว่าน้ำ ท่วม ดังนั้น การวางแผนพื้นที่โดยรอบหรือตรงนั้นอาจจะเป็นแผนที่ต่างจากตรงที่อื่นๆที่เจอ น้ำท่วมมากกว่าภัยแล้ง
อาจจะคิดเรื่องระบบชลประทานให้ครบพื้นที่มากกว่านี้ คือต้องใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในต่างพื้นที่ แต่ทั้งนี้ ต้องเกิดจากการรู้พื้นที่ภาพรวมทั้งหมดก่อนว่า ในแต่ละพื้นที่เจออะไรมากกว่ากัน ตราบใดที่หาคำตอบนี้ไม่ได้ ก็วางแผนไม่ได้
มันต้องมีทั้งสองแผน ...ยืนยัน ประเทศไทยเป็นแบบนี้
ถ้าเราสามารถทำได้ เหมือนกับที่ญี่ปุ่นที่มีระบบเขื่อน ที่บางเขื่อนสามารถปล่อยให้ระดับน้ำต่ำกว่าวิกฤต ก็มี คือให้แล้งเพื่อที่จะรองรับน้ำ แต่อาจเป็นเพราะที่ญี่ปุ่นมีโครงสร้างเยอะ มีเขื่อนที่สำหรับน้ำท่วม เขื่อนสำหรับน้ำแล้ง เขื่อนนี้สำหรับผลิตไฟฟ้า
แต่ตราบใดที่ระบบโครงสร้างของเราควบรวมอยู่แบบนี้ แผนเราจึงต้องละเอียด ซอยตามสถานการณ์ตามพื้นที่
@นอกจากเรื่องจัดตั้งองค์กรแล้ว เป็นห่วงในส่วนใดอีก?
เรื่องของกลไกลในการทำงานที่มีอยู่ เช่น พระราชบัญญัติภัยพิบัติแห่งชาติ แต่เมื่อเกิดภาวะต่างๆขึ้น เหล่านี้ยังไม่ถูกใช้ในฐานะของการจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ นั่นคือ ต้องให้กลไกเหล่านี้ได้ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพเสียก่อน แล้วค่อยว่ากันว่ามันใช้ไม่ได้ผลจริงๆ
อีกประการหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือ ภัยพิบัติกับการเมืองที่เป็นของคู่กัน ฉะนั้นบทบาทของนักการเมืองในภัยพิบัติ มันไม่ใช่การไปสั่งการหรือการแก้การสั่งการใดๆทั้งสิ้น นักการเมืองมาจากคำว่า ผู้แทนราษฎร แปลว่า ราษฎรขณะนั้นกำลังมีภัยพิบัติเกิดขึ้นอยู่ เขาต้องการอะไร นักการเมืองมีหน้าที่สะท้อนตรงนั้น ช่วยเหลือ ประสานความช่วยเหลือ ไม่ใช่สั่งการ แต่ปล่อยให้องคาพยพทำหน้าที่อย่างเต็มศักยภาพเสียก่อน