ความต้องการ“อาหารโลก”เปลี่ยน ยุทธศาสตร์การผลิตอาหารต้องเปลี่ยนตาม
ตลาดอาหารในอนาคต จะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน มีนวัตกรรมใหม่ๆ อะไรบ้าง และประเทศต่างๆ ควรปรับตัวอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าติดตามอย่างยิ่ง
ซึ่งหากพิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ในปี 2555 จะพบว่าต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยที่มีทั้งแรงขับเคลื่อนภายในที่ได้รับแรงส่งจากการผลิต ในหลายภาคอุตสาหกรรม หลังภาวะวิกฤตอุทกภัย ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเนื่องสู่กระบวนการอื่นๆ เช่น การซ่อมแซมถนน อาคารสถานที่ บ้านพักอาศัย การสั่งซื้อเครื่องจักร อุปกรณ์ ชิ้นส่วนอะไหล่ของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อทดแทนเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ได้รับความเสียหาย เป็นต้น รวมทั้งแรงขับเคลื่อนจากภายนอก ในเรื่องความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา กลุ่มยูโรที่ฉายภาพของสถานการณ์เศรษฐกิจ ที่มีแนวโน้มอ่อนแอลงมากในช่วงนี้ ซึ่งอาจมีผลฉุดให้เศรษฐกิจโลกชะลอลงมากกว่าที่เคยคาดการณ์กันไว้ (ธนาคารแห่งประเทศไทย, 2552)
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง เมื่อหันมามองภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารโลกและไทย พบว่า มูลค่าการส่งออกอาหารของโลกในปี 2554 จะพบว่า มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (จากข้อมูล ของ Global Trade Atlas อ้างถึงส่วนงานวิจัยสถาบันอาหาร, 2555) โดยสหภาพยุโรปถือเป็นผู้ส่งออกมากที่สุดในโลก คิดเป็นร้อยละ 41.2 ของมูลค่าการส่งออกของโลก
สัดส่วนมูลค่าการส่งออกอาหาร แยกตามประเทศผู้ส่งออก (2554)
ส่วนการส่งออกอาหารของประเทศไทยในปี 2554 มีมูลค่า ประมาณ 965 พันล้านบาท จึงคาดการณ์ว่าในปี 2555 มูลค่าการส่งออกอาหารน่าจะอยู่ที่ประมาณ 971 พันล้านบาท หรือประมาณ 32,100 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 2.97 ของการส่งออกของโลก นับว่าประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 8 ของโลก (รวมประเทศในยุโรป เป็นสหภาพยุโรป 27)
ระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ส่วนแบ่งตลาดอาหารไทยในตลาดโลก นอกจากจะมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีข้อมูลที่ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีสินค้าที่ส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลกอยู่หลายรายการ ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2553 ข้าวมีมูลค่าส่งออกสูงถึง 168 พันล้านบาท (ร้อยละ 26 ของตลาดโลก) กุ้ง มูลค่าส่งออก 101 พันล้านบาท (ร้อยละ 21 ของตลาดโลก) ทูน่ากระป๋องและทูน่าแปรรูป มูลค่าการส่งออก 59 พันล้านบาท (ร้อยละ 46 ของตลาดโลก) ไก่แปรรูป มูลค่าการส่งออก 56 พันล้านบาท (ร้อยละ 29 ของตลาดโลก) สัปประรดกระป๋องและสัปประรดแปรรูป มูลค่าการส่งออก 15 พันล้านบาท (ร้อยละ 49)
ซึ่งเมื่อหันไปดูการบริโภคอาหารของแต่ละประเทศ จะพบข้อมูลที่น่าสนใจ เพราะในกลุ่มประเทศที่ยากจนมีการบริโภคอาหาร เป็นครึ่งหนึ่งของการใช้จ่ายทั้งหมด ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วจะมีการใช้จ่ายด้านอาหารในสัดส่วนเพียง 1 ใน 5 ของการใช้จ่ายทั้งหมด
โดยประเภทของอาหารที่คนในประเทศที่มีกำลังซื้อและกลุ่มประเทศที่ยากจนเลือกรับประทานมากที่สุด จากการคำนวณโดยอาศัยข้อมูลจาก The 2005 International Comoarison Program (ICP) data ปรากฏว่า ในกลุ่มประเทศยากจนจะบริโภคอาหารในกลุ่มของคาร์โบไฮเดรตมากที่สุด แตกต่างจากกลุ่มประเทศที่มีกำลังซื้อที่นิยมบริโภคอาหารประเภทขบเคี้ยว อาหารที่เป็นยา อาหารรูปแบบใหม่ๆ และเครื่องดื่ม ในสัดส่วนที่มาก
เมื่อศึกษาถึงอาหารแปรรูปอย่างเจาะลึก พบว่า ในปี 2554 มีมูลค่าตลาดตลอด Supply chain สูงถึง 2,100 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยกลุ่มเบเกอรี่ และผลิตภัณฑ์นมมีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด (Euro monitor, 2011) ซึ่งหากจะถามถึงเจ้าตลาดอาหารแปรรูป คำตอบคงไม่ไกลจากที่หลายคนคิด เพราะประเทศที่ครองส่วนแบ่งตลาดในส่วนนี้มากที่สุดถึงร้อยละ 16 ของมูลค่าตลาดโลก คือ สหรัฐอเมริกา
แต่อย่างไรก็ตาม หากมองอัตราการเติบโตทางการค้า จะพบว่า ประเทศที่มีการเติบโตทางอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปมากที่สุด กลับเป็นอิหร่าน (เพราะมีกำลังซื้อ) ส่วนประเทศอื่นก็มีอัตราการเติบโตที่น่าสนใจเช่นกันไม่ว่าจะเป็น อินเดีย จีน อินโดนีเซีย หรือแม้กระทั่งประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบเชิงปริมาณ สินค้าไทยยังสามารถเติบโตอยู่ในอันดับ 1 ใน 10 ของโลก
ดังนั้นการวางยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของแต่ละประเทศจึงต้องคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้เป็นองค์ประกอบด้วย พร้อมทั้งคำนึงถึงการนำความรู้และเทคโนโลยีที่หลากหลายศาสตร์มาใช้ในการจัดการและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการผลิตผลิตภัณฑ์และการตลาดทั้ง Supply Chain เพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาดและสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับผู้บริโภค เพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำ จึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในยุคนี้ เพราะแนวรบใหม่การดำเนินธุรกิจจำเป็นต้องรู้เขา รู้เรา รวมทั้งการใช้โอกาสที่เกิดขึ้นให้เป็นประโยชน์ด้วยการประสานความร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัยและสถาบันที่เกี่ยวข้อง ในบริหารจัดการ เพื่อก่อให้เกิดศักยภาพในการแข่งขันทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาคอาเซียน และระดับโลก อย่างยั่งยืนต่อไป
ข้อมูลโดย : http://www.cpthailand.com